จระเข้ปูนมีลักษณะเป็นหินศิลาแลงมองเป็นรูปคล้ายจระเข้ขนาดใหญ่
ยาวประมาณ 9 เมตร หันศรีษะไปทางทิศเหนือส่วนตรงกลางลำตัวกว้างประมาณ
10 นิ้ว อยู่ชิดกับของทางเดิน (ถนน) ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า จระเข้ปูน
เป็นที่มาของตำนาน จระเข้ปูน
กล่าวกันว่าในสมัยที่กรุงสุโขทัยยังเจริญรุ่งเรืองอยู่
ราวประมาณ พ.ศ. 1420 มีเมืองแห่งหนึ่งชื่อเมือง พราน เป็นเมืองใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง
มีวังอันเป็นที่ประทับของพระร่วงองค์หนึ่งชื่อ พระมหาพุทธสาคร วันหนึ่งพระมหาพุทธสาครได้เสด็จมาที่วังแห่งนี้เพื่อพักผ่อน
ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพญานาคตนหนึ่ง กำลังคาบสาวงามนางหนึ่งเลื้อยผ่านหน้าไป
พระองค์จึงได้ติดตามไปจนกระทั่งถึงภูเขาลูกหนึ่ง พญานาคได้กลืนหญิงสาวลงไปในท้อง
พระมหาพุทธสาครได้เสด็จตามมาทันพอดี จึงได้ใช้มนต์สะกดพญานาคไว้ แล้วจึงได้ล้วงหญิงสาวออกมาจากคอพญานาค
ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นางทอง ส่วนเขาบริเวณนั้นก็ชื่อว่า
เขานางทอง
เนื่องจากนางทองเป็นหญิงสาวสวยงามมาก เป็นที่พอพระทัยของพระมหาพุทธสาคร
จึงได้รับการอภิเษกเป็นมเหสี ใช้ชีวิตร่วมกับพระร่วงปกครองเมืองพานให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก
(บริเวณวังที่ประทับนี้เองซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ ชาวบ้านเรียกกันว่า
บ้านวังพานเก่า ในช่วงที่มีความเจริญมีวัดตั้งอยู่ ปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์ได้มากันเขตไว้เป็นที่สาธารณะ
บริเวณนี้ชาวบ้านเคยไถนาแล้วพบซากวังเก่า ๆ มากมายและที่สำคัญได้พบ พระอู่ทอง
และ พระวังพาน)
ในบริเวณวังที่ประทับของพระมหาพุทธสาครมีบึงน้ำขนาดใหญ่ลึกมากมีถ้ำอยู่ใต้น้ำ
เป็นที่อยู่ของพญาจระเข้ยักษ์ ทุกครั้งที่นางทองออกมาอาบน้ำในบึงแห่งนี้
จระเข้จะลอยมาแอบมองด้วยจิตเสน่หา วันหนึ่งขณะที่นางทองอาบน้ำอยู่พญาจระเข้ได้ตรงรี่เข้าไปหานางทองแล้วคาบหนีออกจากบึง
เมื่อพระมหาพุทธสาครทราบเรื่องจึงโกรธมากรีบเสด็จติดตามโดยด่วน และทันที่บริเวณใกล้เมืองกำแพงเพชร
เข้าช่วยนางทองออกมาได้ ด้วยความโกรธจึงได้สาบให้พญาจระเข้ยักษ์เป็นหินอยู่ตรงนั้น
ปัจจุบันบริเวณที่จระเข้ถูกสาปมองไม่ค่อยจะออกแล้วว่ามีร่องรอยของจระเข้หินอยู่เพราะชาวบ้านได้ขุดดินใช้พื้นที่ทำการเกษตรและค้นหาสมบัติบริเวณส่วนหัว
ลำตัว และอื่น ๆ ของพญาจระเข้ อย่างไรก็ตามหลังจากมีแนวความคิดที่จะฟื้นฟูถนนพระร่วงบริเวณจระเข้หิน
หรือจระเข้ปูนตามที่ชาวบ้านนิยมเรียกกัน |
|