ตามตำนานท้าวแสนปม...ได้กล่าวถึงเมืองเทพนคร
ว่าเป็นเมืองเนรมิต จากอำนาจของ
พระอินทร์ดังเรื่องที่เล่ากันว่าเมื่อท้าวแสนปมได้นางอุษาเป็นชายาแล้ว...ถูกขับออกไปทำไร่หักล้างถางพงแต่วันรุ่งขึ้น
ต้นไม้เหล่านั้นได้กลับขึ้นมาใหม่....จึงซุ่มดูอยู่เห็นวานรตัวหนึ่งซึ่งเป็น
พระอินทร์แปลงกายถือ อินทรเภรี คือกลองวิเศษ ..ท้าวแสนปมได้จับวานรได้..วานรได้มอบกลองวิเศษให้
และบอกว่า ตีกลองขอได้สามสิ่ง ท้าวแสนปมจึงตีครั้งที่ 1 ขอให้ปมทั้งหลายหายไปกลายเป็นบุรุษรูปงาม
ตีครั้งที่ 2 ขอเมืองใหม่จึงเกิดเมืองเนรมิต ขึ้น เมืองนี้คือเมืองเทพนคร
ตีครั้งที่ 3 ขออู่หรือเปลทองคำให้ราชโอรส ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นเป็นพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเราจึงคิดว่าเมืองเทพนครจึงแค่เป็นเมืองที่เล่าขานตามตำนานมิได้มีจริง....
จึงมิได้ค้นหาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อหาร่องรอยเมืองเทพนครไม่พบ
จึงเลิกค้นหา...
.อาจารย์รุ่งเรือง สอนชู
แห่งโรงเรียนบ้านเทพนคร สนใจเรื่องราวของเมืองเทพนครอย่างยิ่งได้แจ้งให้คณะทำงานโทรทัศน์วัฒนธรรมว่าได้ค้นพบ
เมืองเทพนครแล้ว....เราจึงนัดหมายกันเพื่อไปค้นคว้า ...เมืองเทพนครเมืองที่หายสาปสูญไปหลายร้อยปี....อาจารย์รุ่งเรือง
สอนชู อาจารย์วิไลพร สอนชู จากโรงเรียนบ้านเทพนคร นายสิน คำหงษา อดีตผู้ใหญ่บ้าน
หมู่ที่ 15 ตำบลเทพนคร ประธานกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านเทพนคร.... นางมรินทร์
ประสิทธิเขตกิจ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล เทพนคร อาจารย์เรืองศักดิ์ แสงทอง นักนิยมประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
จักรพรรดิ ร้องเสียง ตากล้องทีวีมือหนึ่งของเรา พร้อมด้วย คณะนักเรียนประถมปีที่
6 โรงเรียนเทพนครอีก ประมาณ 20 คน.....ออกเดินทางไปยังบริเวณที่เรียกว่าคูเมืองเทพนคร
ห่างจากถนนราว 800 เมตร เราพบแนวคูเมือง ที่เป็นลักษณะ สี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างจงใจ
แนวกำแพงเมือง พบแล้ว เดินตามแนวกำแพงเมืองเทพนครไปราว 500 เมตร พบเนินดินที่เป็นลักษณะ
เหมือนป้อมมุมเมืองเนื้อที่ราว 200 ตารางเมตร ยังอยู่ในสภาพดี ได้สำรวจจนทั่ว ทุกคนยืนยันว่าเป็นป้อมมุมเมือง
แนวกำแพงที่เลี้ยวไปทางแม่น้ำ ถูกไถทำที่นา ทั้งหมด เมื่อไม่มีหลักฐานบริเวณนี้
คณะสำรวจได้เดินกลับไปทางเดิม เดินสำรวจไปทิศตรงกันข้าม ตามแนวคันดินและคูเมืองเทพนครด้านนอก
อีกประมาณ 200 เมตร พบป้อมมุมเมืองเช่นเดียวกัน เห็นคันคูน้ำ ยาวเหยียดสุดสายตา....
ทั้งหมดเมืองเทพนคร มีหลักฐานให้เห็น คูเมือง เป็นลักษณะมุมฉาก เหลือประมาณ ร้อยละ
40 ส่วนกำแพงเมืองไม่พบร่องรอย นอกจากแนวถนนที่เราสันนิษฐานว่าเป็นกำแพงเมืองเท่านั้น....
เรากลับมาที่บ้านของนายยงค์
ทองปรางค์ ตั้งอยู่ริมน้ำปิง ห่างจากแม่น้ำราว 20เมตร พบร่องรอยของวัดโบราณอาจเป็นวัดประจำเมืองเทพนคร
มีหลักฐานแค่ฐานพระประธานให้เห็น
และแนวฐานพระวิหารยังเห็นชัดอยู่ นายยงค์ ทองปรางค์ เล่าว่าค้นพบพระพุทธรูป ในบริเวณนี้
เมื่อขุดหลุมปลูกพริก ที่ได้นำพระพุทธรูปมาให้เราชมด้วย....มีพุทธลักษณะงดงามมาก...
เมืองโบราณเทพนคร สร้างอย่างใหญ่โต.....และมีสถาปัตยกรรมที่ถูกต้องตามหลักยุทธศาสตร์
กล่าวกันว่า เมืองเทพนคร ป็นราชธานีอยู่เพียง 30 ปี ท้าวแสนปมขึ้นครองราชย์ ที่เมืองเทพนคร
ทรงพระนามว่าพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน ่วนราชโอรสที่เกิดจากนางอุษาที่ทรงบรรทมอู่ทองเนรมิตนั้น
มีพระนามสืบกันมาว่าพระเจ้าอู่ทอง พระเจ้าศิริชัย เชียงแสน อยู่ในราชสมบัติ 25 ปี
สวรรคตในปีพ.ศ. 1887 พระเจ้าอู่ทอง ครองราชย์สมบัติต่อมา อีก 5 ปีจึงอพยพผู้คนไปตั้งราชธานีที่กรุงศรีอยุธยา....ทำให้ทิ้งให้เมืองเทพนครร้าง
ตั้งแต่ปี 1900 .....ไม่มีผู้คนอพยพไปตั้งบ้านเรือนอีกเลย.. ตำนานก็คือตำนาน...แต่มีเค้าความจริงอยู่
เมื่อเราค้นพบแนวกำแพงเมืองเทพนคร ประมาณ
2 กิโลเมตร มีคูเมืองปรากฏอย่างชัดเจน.....
.......ตามข้อสันนิษฐาน พระเจ้าศิริชัยเชียงแสน คงอพยพผู้คนมาจากทางเหนือ ปลอมตนเป็นชายเข็ญใจ
และเมื่อได้กับนางอุษาที่เมืองไตรตรึงษ์แล้ว...จึงสร้างบ้านเมืองที่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองไตรตรึงษ์
เมืองที่สร้างใหม่คือเมืองเทพนคร.....แต่เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วเมืองเทพนครมีปัญหาเหมือนเมืองนครชุมคือ
แม่น้ำปิงกัดเซาะ ให้กำแพงในส่วนริมน้ำปิงพังพินาศหมด ....จึงต้องอพยพผู้คนไปหาชัยภูมิใหม่....อาจเป็นต้นกำเนิดคนไทยที่กรุงศรีอยุธยาจริง....
.....เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ใจ พระร่วงเจ้าไปจากเมืองคนฑี กำแพงเพชร เพื่อไปสร้างกรุงสุโขทัย
เป็นราชธานี
.....พระเจ้าอู่ทอง ไปจากเมืองเทพนคร ไปสร้างกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี.
......พระยาวชิรปราการไปจากเมืองกำแพงเพชร .....ไปสร้างกรุงธนบุรี เป็นราชธานีเช่นกัน
เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็มีหลักฐานที่ชัดเจน........ |
|