วันอาทิตย์ที่
๒๙ มิถุนายน
ไดอารี่ที่รักวันนี้ฉันมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง.....วันนี้ได้มีโอกาสนั่งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง
นั่งมองดูทัศนียภาพรอบๆ ตัวด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย และสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ฉันนั่งมองดูดวงตะวันสีทองสาดแสงส่องกระทบน่านน้ำผืนใหญ่จนเกิดประกายระยิบระยับชวนมอง
สายลมพัดเย็นสบายเสียจนฉันไม่อยากจะลุกไปไหน
ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ทำไมที่นี่จึงเป็นที่ที่มีผู้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ
ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่างๆกัน เพราะบรรยากาศที่งดงามของน่านน้ำ
กอปกับอากาศบริสุทธิ์แสนสดชื่น ฉันเองยังคิดว่าถ้าฉันมีบ้านอยู่ที่นี่สักหลังก็คงจะดี
ฉันนั่งมองสายน้ำอยู่พักใหญ่
สายน้ำที่ไหลเชี่ยว และไม่เคยย้อนกลับ ดั่งเช่นชีวิตมนุษย์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
มีแต่จะก้าวไปข้างหน้า เราไม่สามารถหยุดเวลา หรือย้อนกลับไปได้ อดีตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต
เพื่อให้มีวันต่อๆไปเท่านั้น ใช่! มันช่างเป็นสิ่งจริงแท้อย่างไม่ต้องมีข้อสงสัยใดๆ
ในเมื่อเราไม่สามารถจะหยุดยั้งเวลาแห่งชีวิตนี้ได้ เราก็ควรจะก้าวต่อไปข้างหน้าพร้อมๆกับมันอย่างมั่นคง
และไม่ควรหยุดย่ำอยู่กับที่......
ฉันนั่งคิดเสมอว่า ชีวิตของคนเรานั้นแสนสั้น ไม่ยั่งยืนและยาวนาน ดั่งเช่นสายน้ำที่ไหลหลากอย่างยากจะเหือดแห้ง.....ในเมื่อมันสั้นนัก
ทำไมเราไม่ทำเวลาที่เหลืออยู่ของเราให้คุ้มค่าเกิดมาเป็นมนุษย์เล่า............
ความตายนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้เพียงชั่วลมหายใจ ไม่มีใครหยุดยั้ง หรือ
กำหนดความตายได้ ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ฉันเคยได้ยินหลายๆคนพูดเสมอว่า
คนเราเกิดมาก็แค่ตาย ใช่ ! ฉันไม่เคยเถียงคำพูดนี้ แต่ฉันอยากถามหลายๆคนที่พูดเช่นนี้ว่า
เราเกิดมาก็แค่ตายนั้น ช่วงเวลาที่แสนเลอค่าก่อนจะหลับใหลไปตลอดกาลฉันได้ทำอะไรให้สมกับที่เกิดมาหรือยัง
ทำอะไรให้กับคนที่เรารัก ทำอะไรให้กับบุคคลผู้ซึ่งให้กำเนิด ทำอะไรให้กับประเทศชาติที่เราได้อยู่อาศัยจนเป็นเราในวันนี้
ฉันเห็นคนหลายคนนั้นช่างทำตัวไม่เหมาะสมกับที่เกิดมาบนพื้นแผ่นดินใหญ่
โดยเฉพาะนักการเมืองบางคน ที่คอยจ้องแต่จะหาประโยชน์ใส่ตนเอง โดยไม่มองย้อนว่าการกระทำของคุณเพียงคนเดียว
สามารถทำให้คนอีกนับล้านต้องเดือดร้อน ทำไมคนพวกนั้นไม่ลองหยุดหาผลประโยชน์
โดยที่พวกนั้นไม่ต้องมาช่วยอะไรประเทศชาติก็ยังได้ วอนขอเพียงหยุดเสียเถิดก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนนับล้าน
และประเทศชาติของเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ ฉันเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าสีครามอันแสนกว้างใหญ่
เสียจนหาที่สิ้นสุดมิได้ ดั่งจินตนาการอันล้ำค่าของมนุษย์ ฉันชอบและชื่นชมนักจินตนาการ
และนักเขียนงานประพันธ์ช่างฝันเสียจริงที่ท่านนำเราสู่โลกซึ่งไร้ขีดจำกัด
อันแสนหอมหวาน เสียจนบางคราฉันไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบกับความจริง
ท้องฟ้าอันแสนกว้างไกล
พาฉันล่องลอยไปในความฝัน คนเราทุกคนย่อมต้องมีความฝันอันแสนยิ่งใหญ่กันทั้งนั้น
ไม่ผิดหรอกที่จะฝัน.....มันขึ้นอยู่กับว่าเราทำตามความฝันนั้นได้มากน้อยเพียงใดบางคนเดินตามความฝันด้วยความมุ่งมั่น
แม้บางคราจะเต็มไปด้วยขวากหนาม บางคนกลับได้แต่อยู่ในความฝันอันอ่อนหวาน
และนุ่มนวลดั่งปุยเมฆ แต่หากลองสัมผัสดีๆ ก็จะรู้ว่ามันเป็นเพียงอากาศที่แสนเบาบางเท่านั้น.....
วันนี้! นับแต่วินาทีนี้ ฉันจะเดินตามความฝันของฉันและมันจะต้องเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้
มิใช่เพียงนามธรรม แม้จะต้องล้มสักกี่ครั้งก็จะขอยืนขึ้นด้วยเท้าทั้งสองข้างนี้ให้ได้.....
ฉันสะดุ้งขึ้นเพราะเสียงเด็กผู้หญิงวัยไม่เกิน
๕ ขวบ ตัวเล็กๆแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามอมแมม ถือตะกร้าใบใหญ่ ด้านในใส่กรงเล็กๆ
ที่มีนกตัวน้อยๆ ผู้น่าสงสารอยู่ด้านใน วินาทีนั้นฉันรู้สึกได้ว่า ชีวิตของเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากนกที่อยู่ในกรงเลย
เด็กน้อยไม่มีโอกาสหรือทางเลือกว่าตนจะเป็นอะไร หรือเลือกที่จะทำอะไร
ถ้าหากเขาเลือกได้คงจะไม่มาเดินแบกตะกร้าที่ใหญ่เกินตัวตมลำพังอย่างนี้เป็นแน่
ภาพของเด็กคนนั้นทำให้ฉันมองย้อนกลับมาดูตนเอง ก่อนหน้านี้ฉันเคยรู้สึกน้อยใจตัวเองที่ทำไมไม่มีอย่างที่คนอื่นเขามีบ้าง
เด็กน้อยทำให้ฉันรู้ได้ว่าตนเองนั้นโชคดีพียงไรแล้วที่เรามีโอกาสดีๆได้เรียนหนังสือได้มีครอบครัวที่อบอุ่น...
ใช่! คนเรานั้นย่อมีความอยากได้ อยากมีอยู่เสมอ แต่ทำไมเราไม่ลองมองคนที่ด้อยกว่าเราล่ะ
แล้วจะรู้ว่าเราโชคดีเพียงไร
พอมาตรงนี้ฉันจึงเกิดความคิดอีกว่า ความจริงกับความฝันนั้นบงครามันช่างห่างไกลกันเสียจริง
ฉันยังคงยืนยัน ในความฝันของคนเราอยู่เช่นเคย เพียงแต่ว่าหากความฝันของเรานั้นมันไกลเกินไป
ทำไมเราไม่ลองลดมันลงมาให้พอดีกับตนเองดูละ ? ฉันชอบคำว่า ความจริง
กับความฝัน นะเพราะมันเหมือนกับการย้ำเตือนตนเองอยู่ตลอดเวลา เช่นหลายคนวาดฝันหน้าที่การงานได้อย่างสวยหรูแต่ความจริงอันแสนโหดร้ายยิ่งกว่าบาดแผลใดๆนั่นก็คือ
เราไม่เป็นดั่งที่วาดฝันเอาไว้ ฉันยังคงถามตัวเองซ้ำไป ซ้ำมาว่าตนเองอยากเป็นอะไรกันแน่
ถามตัวเองซะ ! ว่าสิ่งที่เราคิดไว้มันห่างไกลจากความจริงมากน้อยเพียงใด
เพราะชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับความเป็นจริงมิใช่ความฝัน แต่ฉันก็ไม่ได้บอกนะว่าจงอย่าฝันเพียงแค่อยากให้รู้ว่ามันอยู่สูงไปไหม
เราจะปีนไปถึงรึเปล่า ถ้าไม่ถึงทำไมไม่ลองลดระดับลง ดีกว่าที่จะยอมปีนขึ้นไปและตกลงมายังจุดเดิมที่ทั้งเจ็บและไม่เหลืออะไร
ไดอารี่ที่รักวันนี้ฉันได้แง่คิดและมุมมองต่างๆมากมาย
เสียจนมิอาจจะเขียนออกมาได้หมด และตอนนี้ก็เป็นเวลา ๑๘.๓๐ น.แล้วฉันคงต้องไปแล้วล่ะ
ฉันฝากเธอบอกอะไรหน่อยสิ...ช่วยบอกว่า ลาก่อนแม่น้ำปิง ลาก่อนทุกๆสิ่ง
และฉันอยากบอกว่า ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เปรียบเสมือนบทเรียนอันล้ำค่า
ขอบคุณสายน้ำ ขอบคุณท้องฟ้า ขอบคุณแสงตะวัน ขอบคุณกอหญ้า ขอบคุณจากใจจริง
ขอบคุณ...เพราะเธอ
ป.ล. หวังว่าฉันคงได้มีโอกาสมานั่งอยู่ที่ตรงนี้อีกครั้งนะ...แม่น้ำปิง.....
|
|