หัวข้อ: ประวัติความเป็นมาของเมืองชากังราว สืบค้นโดย อาจารย์รุ่งเรือง สอนชู ความหมายของ เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ ตุลาคม 27, 2017, 09:30:01 pm ]ประวัติความเป็นมาของเมืองชากังราว
สืบค้นโดย อาจารย์รุ่งเรือง สอนชู ความหมายของ ชากังราว ในหนังสือรายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์เมืองกำแพงเพชร โดยวิทยาลัยครูกำแพงเพชร เมื่อกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2527 หน้า 138 อาจารย์จำปา เยื้องเจริญ ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญทางด้านภาษามอญโบราณของกรมศิลปากร ได้อธิบาย ว่า “ชากังราว” เป็นภาษามอญ มีคำสามคำประสมกัน ถ้าแยกคำทั้ง 3 คำออกจากกัน แต่ละคำจะมีความหมายดังนี้ “ ชา” มาจากคำควบกล้า “ผชา” แปลว่า “ตลาด “ กัง” แปลว่า “ด่าน” ส่วน “ราว” แปลว่า “หนทาง” “ชากังราว” คือ “เมืองด่าน ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยตลาดและหนทางซึ่งอาจเป็นชุมทางหรืออะไรก็ได้” จากข้อความที่กล่าวนี้ พอที่จะกล่าวสรุปได้ว่า “ชากังราว” หมายถึง แหล่งหรือตลาดที่ใช้ในการค้าขาย เมืองชากังราว ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ตรงข้ามกับเมืองนครชุม เดิมคงเป็นเพียงชื่อของหมู่บ้านมานานแล้ว และได้เปลี่ยนมาเป็นเมืองชากังราวในคราวหลัง กำเนิดเมืองชากังราว เหตุการณ์ในช่วงปลายสมัยการครองราชย์ของพระมหาธรรมราชาลิไทยที่สุโขทัย มีคำอธิบายอยู่ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ หน้า 114- 116 สมเด็จพระรามาธิบดี(อู่ทอง)ที่ 1 ได้ทรงยึดเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก)ไว้ได้ แล้วทรงแต่งตั้งมหาอำมาตย์วัตติเดช(ขุนหลวงพงั่ว) ซื่งครองเมืองสุพรรณบุรีให้ขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลก ต่อมาพระมหาธรรมราชาลิไทยทรงส่งเครื่องราชบรรณาการเป็นจำนวนมากไปถวายแด่สมเด็จพระรามาธิบดี(อู่ทอง) ที่ 1 และทรงทูลขอเมืองพิษณุโลก คืน สมเด็จพระรามาธิบดี(อู่ทอง) ที่ 1 ได้ทรงคืนให้ ทำให้มหาอำมาตย์วัตติเดช(ขุนหลวงพงั่ว) ต้องกลับไปครองเมืองสุพรรณบุรี ที่สุโขทัยนั้น พระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงตั้งพระมหาเทวี พระกนิษฐาของพระองค์ครองเมืองสุโขทัย ทรงตั้งอำมาตย์ชื่อติปัญญา ครองเมืองกำแพงเพชร พระมหาธรรมราชาลิไทยครองเมืองพิษณุโลก และทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองสุโขทัยไปบูชาไว้ที่เมืองพิษณุโลก หลังเมื่อพระมหาธรรมราชาลิไทยสิ้นพระชนม์ อำมาตย์วัตติเดช(ขุนหลวงพงั่ว) ซึ่งเป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ขึ้นมายึดเมืองพิษณุโลกได้แล้วอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปไว้ที่กรุงศรีอยุธยา ติปัญญาอำมาตย์ ซึ่งครองเมืองกำแพงเพชร ได้ส่งมารดาของท่านถวายแก่วัตติเดช(ขุนหลวงพงั่ว) และมารดาของท่านนั้นได้เป็นที่รักใคร่โปรดปราณของวัตติเดช(ขุนหลวงพงั่ว) พระมารดาจึงได้ขอพระพุทธสิหิงค์มาให้ติปัญญาอำมาตย์ไว้บูชาที่เมืองกำแพงเพชร จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ไม่ได้กล่าวถึงเวลาหรือปีพุทธศักราชไว้ ในจารึกหลักที่ 8 ศิลาจารึกภูเขาสุมนกูฏ จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นจารึกของพระมหาธรรมราชาลิไทย จารึกเมื่อพุทธศักราช 1912 ในจารึกกล่าวถึงเชื่อเมืองต่าง ๆของสองฝั่งแม่น้ำปิง ได้แก่ เมือง พระบาง ชากังราว สุพรรณภาว นครพระชุม เมืองพาน แต่ไม่มีชื่อเมืองกำแพงเพชร และในจารึกนี้กล่าวได้ว่า ติปัญญาอำมาตย์มาครองเมืองกำแพงเพชร เมื่อปีพุทธศักราช 1905 ดังนั้นในช่วงแรกที่ติปัญญาอำมาตย์มาครองนั้น หมายถึง หมู่บ้านชากังราว และได้สถาปนาขึ้นเป็น เมืองชากังราวเมื่อพุทธศักราช 1905 หรืออาจจะหลังบ้างเล็กน้อย เมืองชากังราว เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองกำแพงเพชร หลังจากที่พระมหาธรรมราชาลิไทยสิ้นพระชนม์เมื่อพุทธศักราช 1913 – 1914 ในปีพุทธศักราช 1914 สมเด็จพระบรมราชาธิราช(พงั่ว) ที่ 1 เสด็จขึ้นมายึดเมืองต่าง ๆของอาณาจักรสุโขทัยได้ทั้งหมด ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ มีข้อความว่า “ ศักราช 734 ( พ.ศ. 1914) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จไปเอาเมืองเหนือ และได้เมืองเหนือทั้งปวง” ในปีพุทธศักราช 1916 สมเด็จพระบรมราชาธิราช(พงั่ว) ที่ 1 ทรงมีพระบรมราชโองการการให้ จักพรรดิราช(ซึ่งภายหลังคือสมเด็จพระนครอินทราธิราช กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา องค์ที่ ๖)ขึ้นมา เสวยราชย์เมืองกำแพงเพชร ( ตามจารึกหลักที่ ๓๘ กฎมายลักษณะโจร ) มีข้อความตอนหนึ่งว่า “เพลาค่ำ พระนครนี้ สิทธิสมเด็จบพิตร(มหาราชบุตร).....ราช ศรีบรมจักรพรรดิราชท่านได้เสด็จขี้นเสวย.....ภิรมย์ สมดังพระราชมโนรถ ทดแทนพระธรรมราชสีมานี้ ดุจดาวติงสา พระองค์ท่านเสด็จในกำแพงเพชรบุรี ศรีวิมลาสน์” จากจารึกหลักที่ 38 กฎหมายลักษณะโจร ซึ่งจารึกเมื่อพุทธศักราช 1916 จึงกล่าวได้ว่า เมืองชากังราว ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเมืองกำแพงเพชรแล้วในปีใดปีหนึ่ง ระหว่างพุทธศักราช 1912 -. 1916 เมืองชากังราวหรือเมืองกำแพงเพชร เคย เป็นเมืองหลวงของกรุงสุโขทัย พงศาวดารโยนกซึ่งอยู่ในหนังสือประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 7หน้า 436 ได้กล่าวถึงกษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยองค์สุดท้ายต่อจากพระมหาธรรมราชาลิไทย คือ พระเจ้าติปัญญามาตร์หรือพระเจ้าญาณดิส มาครองเมืองกำแพงเพชร ซึ่งตรงกับชินกาลมาลีปกรณ์ พระเจ้าติปํญญาอำมาตย์ได้มาครองเมืองกำแพงเพชร ส่วนพระมหาธรรมราชาลิไทย เสด็จไปครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระมหาธรรมราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าติปัญญามาตร์ ไม่ได้ไปครองเมืองพิษณุโลกหรือเมืองอื่น แต่ได้ครองเมืองชากังราวหรือเมืองกำแพงเพชรตามเดิม สมเด็จพระบรมราชาธิราช(พงั่ว) ที่ 1 ได้ให้ความสำคัญเมืองชากังราวหรือเมืองกำแพงเพชรกว่าเมืองอื่น ทรงให้พระเจ้าติปัญญามาตร์ครองเมืองกำแพงเพชร พร้อมทั้งยินยอมให้นำพระพุทธสิหิงค์และพระแก้วมรกตจากกรุงศรีอยุธยา มาไว้ที่กำแพงเพชร มีพระราชโองการแต่งตั้งให้จักพรรดิราชหรือมีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้านครอินทร์ซึ่งเป็นพระญาติของพระองค์มาครองราชย์เมืองกำแพงเพชร ตามจารึกหลักที่ 38 ซึ่งเป็นจารึกทีใช้ในการออกกฎหมายนำไปใช้ในกรุงสุโขทัย ดังนั้นเมืองชากังราวหรือเมืองกำแพงเพชรในช่วงสมัยรัชกาลของ สมเด็จพระบรมราชาธิราช(พงั่ว) ที่ 1 ได้เป็นเมืองหลวงของกรุงสุโขทัย มีกษัตริย์สองพระองค์คือพระเจ้าติปัญญามาตย์ และพระเจ้านครอินทร์ (อาจเป็นพระองค์เดียวกัน) ซึ่งเป็นพระญาติขึ้นมา เสยราชย์ เมืองกำแพงเพชร อ้างอิง คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 1. กรุงเทพมหานคร : สำนักนายกรัฐมนตรี, 2521 คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 3. กรุงเทพมหานคร : สำนักนายกรัฐมนตรี, 2508. คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี, ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนา ภิเษก เล่ม1. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, 2542. คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี, ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนา ภิเษก เล่ม 7. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, 2542. วิทยาลัยครูกำแพงเพชร, รายงานการสัมมนา ประวัติศาสตร์เมืองกำแพงเพชร: กรุงเทพมหานคร: กรุงสยามการพิมพ์, 2528 แสง มนวิทูร, ร.ต.ท. ชินกาลมาลีปกรณ์.(พิมพ์อนุสรณ์นายกี นิมมานเหมินทร์) มิตรนราการพิมพ์, 2510.]]]]]]]]]]]]]]]]] |