หัวข้อ: ตอน๓ เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพระราช เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ มีนาคม 06, 2025, 11:40:19 am เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ) เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ตอนที่ ๓ : บวชแล้วเรียน เปลี่ยนชีวิต หลวงพ่อ หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งเป็นระดับชั้นการศึกษาสูงสุดของ โรงเรียนบ้านคุยป่ารังในขณะนั้น หลวงพ่อก็ไม่ได้เรียนต่อทั้งที่ในใจอยากเรียนต่อมาก จบชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ โยมบิดาก็ให้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่เหที่ที่พักสงฆ์คุยป่ารังเป็นเวลา ๑ พรรษา ในระหว่างนั้นพระมหากอง ติกฺขวีโร วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ (ต่อมาได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระราชพุฒิเมธี) ซึ่งเป็นชาวบ้านคุยป่ารังและมีศักดิ์เป็นญาติของ หลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อเรียกพระมหากองว่า “หลวงอา” ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน และชวนหลวงพ่อ ขณะที่เป็นสามเณรไปเรียนพระบาลีที่วัดโพธาราม แต่มีเหตุขัดข้อง เนื่องจากโยมบิดากังวลเรื่อง การบิณฑบาตอาจจะไม่เพียงพอ เกรงว่าสามเณรลูกชายจะฉันไม่อิ่ม ทำให้หลวงพ่อไม่ได้เดินทางไป อยู่วัดโพธาราม ดังปรากฏในข้อความที่หลวงพ่อเขียนรำลึกพระคุณของพระเดชพระคุณพระราช วุฒิเมธี (กอง ติกฺขวีโร) ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ฯ ว่า “จริง ๆ แล้ว ข้าพเจ้าน่าจะได้มาอยู่วัดโพธาราม ตั้งแต่จบการศึกษาชั้น ป. ๔ แล้ว เพราะ ท่านอาจารย์กองไปเยี่ยมบ้านหลังสงกรานต์ตามปกติที่ท่านทำมา และก็มารับข้าพเจ้าไปเรียน พระบาลีตอนเป็นสามเณร แต่มีเหตุที่ไม่ได้มา ท่านอาจารย์กองจึงบอกว่าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยไป เรียน” เมื่อลาลิกขาจากสามเณร หลวงพ่อก็ช่วยงานโยมบิดาและพี่ ๆ ในการทำการเกษตรกรรม หน้าที่หลักของหลวงพ่อก็คือ เลี้ยงควาย ในช่วงฤดูแล้งก็จะนำควายออกมาเลี้ยงตามท้องไร่ท้องนา แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนก็จะลำบากหน่อย ต้องนำควายเข้าไปเลี้ยงในป่าบนเขากำโปงซึ่งอยู่ใกล้กับที่ นาของครอบครัว โดยจะมีชาวบ้านรวมกลุ่มกันนำควายขึ้นไปเลี้ยงด้วยกัน ตัดไม้มาล้อมรั้วทำเป็น คอกชั่วคราว ส่วนคนก็ทำเป็นห้างเล็ก ๆ ยกพื้นมุงหลังคาพอได้กันฝน เรียกว่า “ปางควาย” พักอยู่ ที่ปางควายเป็นเวลา ๒ - ๓ วันก็จะกลับเข้ามาในหมู่บ้านครั้งหนึ่งเพื่อขนเอาเสบียงอาหารขึ้นไป ซึ่งคนที่ปางควายก็จะเปลี่ยนสลับกันเฝ้าควายอยู่อย่างนี้จนถึงเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ จึงจะนำควาย กลับลงมากินหญ้ากินฟางที่ทุ่งนา หลวงพ่อก็เลี้ยงควายอยู่อย่างนี้ตั้งแต่อายุราว ๑๒ ปี จนถึงเกณฑ์ ทหาร หลวงพ่อเคยไปแสดงธรรมเทศนาที่งานศพญาติคนหนึ่งที่หมู่บ้านวังควงเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖ ขณะนั้นผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามได้ด้วย ในส่วนหนึ่งของการเทศนาหลวงพ่อได้เล่าถึงประวัติของ ตนเองในช่วงก่อนที่จะอุปสมบทว่า “อาตมาเนี่ย แต่ก่อนก็เลี้ยงควายอยู่แถวนี้ ทำไงได้ล่ะ ก็มันจบแค่ ป.๔ จะเรียนต่อก็ไม่ได้ น้องก็มีอีกตั้งหลายคน จะไม่เลี้ยงควายก็ไม่ได้ ก็เพราะมันมีคนแถวนี้คนหนึ่งหัวหมอ ออกเรือน แต่งงานไปก่อน (พูดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ) อาตมาก็เลยต้องรับภาระเลี้ยงควาย คนโตเขาก็ต้องใช้ แรงงานทำนา คนเล็กก็สบาย แต่อาตมาเป็นลูกคนกลาง ๆ ก็เลยต้องเลี้ยงควาย แต่โชคดีว่ามี โอกาสได้บวช ได้เข้ามาอาศัยบวรพระพุทธศาสนา จึงทำให้ได้มีการศึกษาที่สูงขึ้น ใครจะไปคิดว่า จากเด็กเลี้ยงควายบ้านคุยป่ารังในวันนั้น จะได้มาเป็นเจ้าคุณราช ฯ ในวันนี้ แม้แต่ตัวอาตมาเอง ก็ไม่เคยคิดมาก่อน เนี่ยเห็นไหมว่าการบวชเรียนเขียนอ่านมันดียังไง” เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เนื่องจากโยมมารดาของหลวงพ่อได้ป่วย เป็นโรคมะเร็งกระดูก โยมบิดาและลูก ๆ ได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลพรานกระต่ายและรักษาด้วย วิธีต่าง ๆ เป็นเวลานานกว่า ๙ เดือน ใช้ทุนทรัพย์ในการรักษาโรคเป็นจำนวนมาก ทำให้โยมบิดา ต้องขายควายที่มีอยู่เกือบ ๕๐ ตัว จนเหลืออยู่ไม่ถึง ๑๐ ตัว เพื่อนำเงินมาจ่ายเป็นค่ารักษาโรค แต่ ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตโยมมารดาของหลวงพ่อเอาไว้ได้ ทำให้โยมบาง ภูมิเมือง ผู้เป็นโยมมารดาของ หลวงพ่อถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งกระดูกในปีต่อมา ทำให้หลวงพ่อมีความรู้สึกเศร้าเสียใจเป็น อย่างมาก หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าก่อนที่จะอุปสมบทท่านก็ใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นชาวบ้านทั่วไป เวลามีงาน บุญประจำปีของหมู่บ้านข้างเคียงก็จะไปเที่ยวงาน เต้นรำวง สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนฝูง แต่ท่านไม่ ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ ก่อนที่จะอุปสมบทหลวงพ่อเล่าว่าท่านมีสาวคนรักอยู่คนหนึ่ง เป็นหญิงสาวใน หมู่บ้านเดียวกัน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ช่วงกลางวันก็จะไปเลี้ยงควายด้วยกันพร้อมกับคนอื่น ๆ หมายมั่นว่าจะแต่งงานเป็นคู่ชีวิต แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยต่อกัน เพราะค่านิยมสมัยนั้นต้องบวช ก่อนที่จะเบียดจึงจะถือว่าเป็นลูกผู้ชาย หลวงพ่อจึงพูดได้อย่างเต็มอกว่า “เราครองพรหมจรรย์มา ทั้งชีวิต” บุคคลที่หลวงพ่อกล่าวถึงคือ ลุงสังวร ภูมิเมือง พี่ชายคนโตของหลวงพ่อ ซึ่งนั่งฟังพระธรรมเทศนาอยู่ในงานด้วย ขณะนั้นหลวงพ่อมีสมณศักดิ์เป็นที่พระราชวชิรเมธี รองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อหลวงพ่ออายุย่างเข้า ๒๑ ปีก็เข้าสู่กระบวนการตรวจเลือกทหารกองเกิน เป็นที่ลุ้นกัน ว่าหลวงพ่อต้องจับได้ใบแดเป็นทหารตามอย่างพี่ชาย ซึ่งเล่ากันว่าผู้ชายตระกูลภูมิเมืองส่วนใหญ่ มักจะจับได้ใบแดงเป็นทหารเกณฑ์ เหตุการณ์ช่วงนี้ข้อมูลไม่ชัดเจนนัก แต่ผลการตรวจเลือกทหาร กองเกินครั้งนั้นปรากฏว่าหลวงพ่อไม่ได้เป็นทหารเกณฑ์ ทั้งนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสามารถจับ สลากได้ใบดำ หรือเป็นเพราะลักษณะตาดำอยู่ไม่ตรงที่กันแน่ เมื่อไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร โยมบิดา และหลวงปู่เห สนฺติกโร หัวหน้าที่พักสงฆ์คุยป่ารังซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายของปู่ของหลวงพ่อ และ หลวงพ่อเรียกว่า “หลวงปู่” นั้น ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหลวงพ่อมีอายุครบที่จะบวชได้ โยมบิดาจึง ได้ปรารภกับหลวงพ่อว่า “หากอยากจะแต่งงานก็ดี หรืออยากไปทำงานที่กรุงเทพ ฯ ก็อยากให้ บวชก่อน บวชสักหนึ่งพรรษา แล้วค่อยสึก จะทำอะไรต่อก็ค่อยว่ากัน” ซึ่งหลวงพ่อก็ตกลงตามนั้น เพราะลึก ๆ ในใจก็อยากจะบวชอยู่แล้ว เนื่องจากได้ซึมซับมาจากการได้สัมผัสรับใช้หลวงปู่เหมา ตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อได้ทำการบรรพชาอุปสมบทเมื่อเช้าวันพุธขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย ซึ่งตรงกับ วันที่ ๑๔ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ ณ พัทธสีมาวัดสุวรรณาราม บ้านวังควง ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร โดยมี พระอุปัชฌาย์คือ เจ้าอธิการประสิทธิ์ เตชวโร (ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูวชิรวราภรณ์ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร) วัดราษฎร์บูรณะ ตำบลวังตะแบก อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร พระกรรมวาจารย์คือ พระอธิการประเสริฐ กตสาโร (ปัจจุบันลาสิกขาแล้ว) วัดคลอง ราษฎร์เจริญ ตำบลหนองหัววัว อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร พระอนุสาวนาจารย์คือ พระดำรงศักดิ์ ธมฺมกาโม (ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิศาลวชิรกิจ เจ้าคณะตำบลหนองหัววัวกิตติมศักดิ์) วัดกุฏิการาม ตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร หลวงพ่ออุปสมบทเสร็จเป็นพระภิกษุทางพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์เมื่อเวลาประมาณ๐๘.๒๐ น. ได้รับการตั้งฉายาทางธรรมจากพระอุปัชฌาย์เป็นภาษาบาลีว่า “วรปญฺโญ” ซึ่งแปลว่า ผู้มีบุญอันประเสริฐ หลังจากอุปสมบทเสร็จ หลวงพ่อได้มาจำวัดอยู่ที่สำนักสงฆ์คุยป่ารังกับหลวงปู่เห สนฺติกโร ซึ่งอยู่ติดกับบ้านของหลวงพ่อ ในระหว่างอุปสมบทใหม่ ๆ ก็ได้ท่องมนต์พิธีต่าง ๆ ทั้งบทสวดเจ็ด ตำนานและบทสวดสิบสองตำนานได้จนขึ้นใจ จนกระทั่งเข้าพรรษาหลวงปู่เหก็ได้ส่งหลวงพ่อเข้า สมัครเรียนและสอบนักธรรมชั้นตรีตามแนวทางการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย โดยในการเรียน นักธรรมศึกษาชั้นตรีหลวงพ่อต้องเดินทางไปเรียนที่วัดสุวรรณาราม บ้านวังควง ที่อยู่ห่างจากบ้านคุยป่ารังออกไปราว ๒ กิโลเมตร โดยมีพระอธิการสมพร ถาวโร (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิบูลวชิรโสภณ) เจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามเป็นครูสอน การเดินทางไปเรียนนักธรรมศึกษาชั้นตรีที่วัดสุวรรณาราม หลวงพ่อได้ปั่นจักรยานไปเรียน ในช่วงเข้าพรรษาสัปดาห์ละ ๑ วัน โดยในวันนั้นจะมีพระภิกษุสามเณรจากวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใน ละแวกบ้านวังควงเดินทางมาเรียนหลายรูป ครูสอนนอกจากจะมีพระอธิการสมพร เป็นหลักแล้ว บางวันก็จะมีครูสอนจากวัดกุฏิการามมาร่วมสอนด้วย ซึ่งหลวงพ่อเดินทางไปเรียนอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาดเรียน แต่ก็มีบ่นในในว่า “การปั่นจักรยานมาเรียนที่วัดวังควงนั้นลำบากมาก กว่าจะปั่น ผ่านขี้โคลนไปได้ก็เหนื่อยเสียแล้ว ในใจคิดว่าถ้ามีรถเครื่องหรือรถมอเตอร์ไซค์ขี่ก็คงจะดีกว่านี้” ในการเรียนนักธรรมชั้นตรีนี้ หลวงพ่อมีความตั้งใจพากเพียรเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่า โยมบิดาได้มีข้อตกลงกับหลวงพ่อไว้ว่า “ถ้าสอบผ่านนักธรรมตรีแล้ว หากสึกออกมาจะซื้อรถ มอเตอร์ไซค์ให้” ด้วยหลวงพ่อไม่ได้คิดที่จะอุปสมบทครองสมณเพศอยู่นาน เมื่อได้ยินข้อตกลงของ โยมบิดาดังกล่าวก็เป็นแรงผลักดันให้มีความขยันหมั่นทบทวนตำราเพื่อที่จะสอบนักธรรมชั้นตรีให้ ผ่าน เพื่อรับรางวัลใหญ่ซึ่งในขณะนั้นใครที่ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ก็ถือว่าไม่ธรรมดา ในบ้านคุยป่ารังก็ ยังไม่มีรถมอเตอร์ไซค์สักคัน โดยหารู้ไม่ว่าผลการสอบนักธรรมชั้นตรีในครั้งนั้นจะทำให้หลวงพ่อ ไม่ได้ลาสิกขา และได้ครองสมณเพศตราบจนมรณภาพ ระหว่างที่หลวงพ่อพักอยู่กับหลวงปู่เห หลวงพ่อยังได้มีโอกาสศึกษาวิชาอาคมต่าง ๆ จาก หลวงปู่เห ซึ่งในสมัยนั้นเป็นที่กล่าวกันว่าเป็นผู้มีวิชาอาคมและเป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวคุยป่ารัง หลวงพ่อเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า “เราท่องมนต์พิธีต่าง ๆ เจ็ดตำนาน สิบสองตำนานได้หมดแล้ว เลย ถามหลวงปู่เหว่า มีมนต์อะไรให้ท่องอีกไหม หลวงปู่เหเลยบอกเราว่า มีแต่คาถา จะท่องเอาไหม เราก็เลยตอบว่า ถ้าหลวงปู่ให้ท่องก็จะท่อง หลวงปู่เหก็เลยสอนคาถาให้เราบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากหรอก สมมติว่าหลวงปู่มีคาถาอยู่ทั้งหมดเหมือน ๕ นิ้วเรา (หลวงพ่อยกมือขึ้นมาแสดงด้วย) เราได้ เรียนจากหลวงปู่เหมาแค่เพียงข้อนิ้วมือเดียว แต่ก็พอเอาตัวรอดได้อยู่” การสอบนักธรรมสนามหลวงชั้นตรีในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงพ่อได้เดินทางมาสอบไล่ที่วัด กุฏิการามหรือวัดป่าเรไรที่อยู่ติดกับตัวอำเภอพรานกระต่ายซึ่งเป็นสนามสอบ เมื่อสอบเสร็จก็มั่นใจ อย่างยิ่งว่า สอบผ่านแน่นอน เพราะตรงกับที่อ่านและฝึกเขียนกระทู้ธรรมมาทุกประการ การที่จะ ได้รับรางวัลรถมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้แค่เอื้อม หลังประกาศผลสอบก็จะลาสิกขา และจะขี่รถ มอเตอร์ไซค์ไปอวดตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในละแวกใกล้เคียง หลวงพ่อได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า “หลังสอบนักธรรมตรีเสร็จ กลับมาอยู่วัดคุยป่ารังก็ไม่มีอะไรทำ ก็เรามันไฮเปอร์อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ หลวงปู่เหก็เลยบอกให้เราท่องพระปาฏิโมกข์ เพราะว่าพระปาฏิโมกข์ทำให้ได้บุญมาก เราก็ เลยลองท่องดู ไม่เสียหายอะไรเพราะยังไงก็ต้องออกพรรษา รอผลสอบนักธรรมตรีประกาศผล เรา ใช้เวลาท่องพระปาฏิโมกข์อยู่ ๒๘ วัน สามารถท่องจำได้จนขึ้นใจจนถึงบัดนี้ แต่รู้ไหม หลวงปู่เห มาบอกเราทีหลังว่า พระปาฏิโมกข์ใครเขาท่องกันเล่า เพราะถ้าใครท่องพระปาฏิโมกข์ได้เขาบอก ว่าจะต้องบวชตลอดชีวิต อ้าว ! ตายแล้ว ทำไงได้ล่ะ เราก็ไม่เชื่อหรอก ท่องได้แล้วก็ท่องไป เพราะ ถือว่าท่องได้ก็ได้บุญมาก” เรื่องอานิสงส์ของการท่องพระปาฏิโมกข์ได้จะทำให้ได้บุญมากและจะต้องบวชตลอดชีวิต จะเป็นความจริงอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อแม่กองธรรมสนามหลวงประกาศผลสอบนักธรรม ชั้นตรีในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ปรากฏว่า พระวีระ วรปญฺโญ/ภูมิเมือง สำนักเรียนวัดสุวรรณาราม สอบไล่นักธรรมชั้นตรีผ่าน หลวงพ่อดีใจอย่างมากที่จะได้ลาสิกขาออกไปขี่รถมอเตอร์ไซค์เท่ ๆ ไป อวดสาว ๆ คนที่ดีใจ ไม่น้อยไปกว่าหลวงพ่อเลยก็คือ ผู้ใหญ่ทวี ภูมิเมือง โยมบิดาของหลวงพ่อ ผู้ใหญ่ทวีเอาเรื่องที่พระลูกชายสอบผ่านนักธรรมชั้นตรีซึ่งในสมัยนั้นการสอบผ่านนักธรรม แต่ละชั้นถือว่าเป็นเรื่องยากมาก ต้องอาศัยการเล่าเรียนฝึกฝนพยายามเป็นอย่างมาก ไปบอกเล่าให้ ชาวบ้านและแขกที่มาเยี่ยมเยือนฟังด้วยความดีใจ สมกับเป็นลูกชายของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งในสมัยนั้น การเป็นผู้ใหญ่บ้านถือว่าเป็นผู้มีบารมีพอสมควร การที่มีพระลูกชายสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรีนั้นก็ ถือว่าเป็นการเสริมบารมีอย่างหนึ่งให้กับความเป็นผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างนี้หลวงพ่อเองก็มีความรู้สึกสองจิตสองใจว่าจะลาสิกขาหรือจะบวชต่อเพื่อเรียน นักธรรมชั้นโท เพราะว่าในหมู่บ้านขณะนั้นมีญาติของหลวงพ่อที่ได้บวชเรียนจนได้เป็นพระมหา เปรียญ คือ พระมหากอง ติกฺขวีโร/ศิรินาค และได้เป็นครูสอนพระบาลีที่วัดโพธาราม จังหวัด นครสวรรค์ ซึ่งหลวงพ่อให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันยังมีโยมกาบ ศิรินาค ซึ่ง เป็นโยมบิดาของพระมหากองคอยแนะนำอยากให้หลวงพ่อบวชเรียนต่อจนได้เป็นพระมหาเหมือน บุตรชายของตน ในที่สุด หลังตรวจเลือกทหารกองเกินแล้วเสร็จ ไม่ได้ไปเป็นทหารเกณฑ์ หลวงพ่อึงตัดสินใจที่จะบวชเรียนต่อ ทิ้งรถมอเตอร์ไซค์รางวัลใหญ่ที่เคยอยากได้ ทิ้งสาวบ้านคุยป่ารังที่เคย เลี้ยงควายด้วยกัน ไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ เหตุการณ์ชีวิตของ หลวงพ่อช่วงนี้ได้ปรากฏในข้อความที่หลวงพ่อเขียนรำลึกพระคุณของพระราชวุฒิเมธี ว่า “พระเดชพระคุณ พระราชวุฒิเมธี (กอง ติกฺขวีโร) เจ้าคุณอาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส วัดโพธาราม พระอารามหลวง และที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ เป็นพระมหาเถระที่ใจเย็น ที่สุดเท่าที่เคยพบมา ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เก่าวัดโพธาราม ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๓ - ๒๕๒๙ ได้มาพึ่งใบบุญ ของท่านอาจารย์พระมหากองครั้งแรก วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ในที่นี้ข้าพเจ้าเรียกท่าน อาจารย์กอง ตามที่พระเณรวัดโพ ฯ เรียกในยุคนั้น ข้าพเจ้าเรียกท่านตามที่พี่น้องเรียก คือ หลวงอา เป็นญาติห่าง ๆ กัน และมีอายุน้อยกว่า โยมพ่อเล็กน้อย เพราะท่านอาจารย์กองเป็นคนบ้านเดียวกัน คือ บ้านคุยป่ารัง ตำบลวังควง (ในยุค ท่านอาจารย์กองยังขึ้นอยู่กับตำบลท่าไม้) อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ข้าพเจ้าบวช พระในพรรษาแรก โยมกาบ ซึ่งเป็นโยมพ่อของท่านอาจารย์กอง เป็นทายกวัดคุยป่ารัง จึงพยายาม ประคบประหงมข้าพเจ้า เพราะตั้งใจจะให้ไปเป็น “มหา” เหมือนพระลูกชายของตน จนข้าพเจ้า สอบนักธรรมตรีได้ และท่านอาจารย์กองกลับมาเยี่ยมบ้านจึงได้พาข้าพเจ้าเข้ามาเรียนพระบาลีที่ วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์” การตัดสินใจบวชต่อเพื่อไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดโพธารามให้เป็น “พระมหา” ของ พระวีระ วรปญฺโญ ในครั้งนั้นได้ทำให้ชีวิตของหลวงพ่อเปลี่ยนไปอย่างมาก และเป็นการ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากเด็กเลี้ยงควายกลายเป็นพระมหาและท่านเจ้าคุณ หลวงพ่อจึง มักจะกล่าวกับพระนิสิต พระภิกษุและสามเณรที่เข้ามาบวชหรือมาอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมที่ วัดพระบรมธาตุเสมอว่า “บวชแล้วเรียน เปลี่ยนชีวิต” ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ #ติดตามอ่านต่อตอนที่ ๓ #หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม |