หัวข้อ: ตอนที่ ๔ เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพร เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ มีนาคม 06, 2025, 11:42:25 am เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ) เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ตอนที่ ๔ : จากบ้านคุยป่ารัง สู่วัดโพธาราม เมืองปากน้ำโพ วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นวันที่หลวงพ่อได้เดินทางออกจากที่พักสงฆ์คุยป่ารัง บ้านคุยป่ารัง พร้อมด้วยพระราชวุฒิเมธีมาพำนักที่วัดโพธาราม ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญที่อยู่กลางตัวเมืองนครสวรรค์ วัตถุประสงค์การออกเดินทางมาอยู่ที่วัดโพธารามในครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจออกจากบ้านเป็น เวลานานครั้งแรกของหลวงพ่อ เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรมนำมาซึ่งคำว่า “พระมหา” ซึ่งในสมัย นั้นถือว่า “ดูดี” เป็นอย่างมากสำหรับคนบ้านนอก และเมื่อเดินทางมาถึงวัดโพธารามก็ได้รับคำ ทักทายที่กลายเป็นคำปลุกใจจากพระมหาชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖ (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระครูวชิรปริยัติคุณ) ครูสอนบาลีวัดโพธาราม ซึ่งหลวงพ่อนับถือว่าเป็นครูสอนบาลีรูปแรก ดังปรากฏในหนังสือคิดถึงพระมหาชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖ ว่า “จากอดีต ข้าพเจ้าเข้าเรียนบาลี ณ สำนักเรียนบาลีวัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยการนำพาของพระมหากอง ติกฺขวีโร (พระราชพุฒิเมธี เจ้าอาวาสวัดโพธาราม ปัจจุบัน) อาจารย์ท่านแรกที่พบคือ พระมหาชุมพล ร่างเล็ก ผอมสูง ทักทายอย่างกัลยาณมิตรว่า ท่านมาจากไหน กราบเรียนท่านไปว่า บ้านเดียวกับอาจารย์มหากอง คำแรกที่ชื่นใจที่สุด คือ โอ๊ย ! งี้เป็นมหาแน่นอน เหมือนน้ำมนต์รดใจเลย เพราะมุ่งมั่นอยากเป็นมหา คำพูดที่ปลุกใจแบบนี้ พระบ้านนอกมันรู้สึกอบอุ่นมาก อยากเรียนบาลีขึ้นมาอีกมากทีเดียว” เมื่อหลวงพ่อเข้าพำนักยังวัดโพธารามก็ได้รับความเมตตาเป็นอย่างดีจากท่านเจ้าอาวาส และได้รับการดูแลอย่างดีจากพระราชวุฒิเมธีซึ่งขณะนั้นเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม - บาลีสำนักศาสนศึกษาวัดโพธาราม หลวงพ่อได้บันทึกความทรงจำของชีวิตช่วงที่มาอยู่วัดโพธาราม ใหม่ ๆ ในข้อความที่หลวงพ่อเขียนรำลึกพระคุณของพระราชวุฒิเมธี ว่า “เมื่อมาอยู่วัดโพ ฯ ปี ๒๓ เป็นช่วงที่ท่านอาจารย์กองสอบได้ ป.ธ. ๖ แล้ว ท่านให้ข้าพเจ้า อยู่ที่ตึกสี่ชั้น ชั้นที่สาม ห้องเดียวกับหลวงพี่บุญมี ปญฺญาทีโป (ตันใจ) คนกำแพงเพชรเหมือนกัน บ้านอยู่แถว ๆ มอกล้วยไข่ ท่านคงเห็นว่าหลวงพี่บุญมีซึ่งเป็นพระเก่งบาลีมาก กำลังเรียนชั้น ป.ธ. ๓ ช่วยให้ข้าพเจ้าเก่งบาลีตาม ในยุคนั้นท่านอาจารย์มหากองทำหน้าที่หลายอย่างมาก ครูบา อาจารย์และนักเรียนให้ความเคารพนับถือมาก ข้าพเจ้าเข้ามาเห็นปฏิปทาของท่านพร้อมทั้งได้เห็น ความเคารพนับถือของคณะครูและนักเรียนจึงเกิดความภาคภูมิใจอย่างมาก จึงมีหลวงอาเป็น ไอดอลเสมอมา” หลังจากที่หลวงพ่อเดินทางลงไปพักอยู่ที่วัดโพธารามไม่นานนัก ก็ทราบข่าวจากทางบ้าน ว่าโยมบิดาป่วยหนัก ทางลูกหลานได้นำส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดตาก และได้ส่งรถลงมารับหลวงพ่อกลับไปที่บ้านคุยป่ารัง แต่ปรากฏว่าโยมทวี ภูมิเมือง โยม บิดาของหลวงพ่อได้ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ด้วยโรคไตวาย สิริอายุ ๕๓ ปี ซึ่งถึงแก่กรรมใน ขณะที่ยังดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน หลวงพ่อก็ได้ขึ้นไปจัดการงานศพของโยมพ่อจนเสร็จเรียบร้อย จึงเดินทางกลับมาศึกษาต่อที่วัดโพธาราม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียความตั้งใจและเสียหน้าของพระราชวุฒิเมธีผู้เป็นหลวงอา หลวงพ่อ ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นโทในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอกในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ในนามสำนักเรียนคณะจังหวัดนครสวรรค์ในบันทึก ส่วนตัวของหลวงพ่อที่เกี่ยวเนื่องด้วยวันครู ๑๖ มกราคมของทุกปี หลวงพ่อเขียนรำลึกพระคุณของ พระอาจารย์ผู้สอนวิชานักธรรมชั้นโทและชั้นเอกไว้ว่า “พระมหาบุญช่วย ป.ธ. ๔ ครูสอนนักธรรมชั้นโท พระมหาจำเนียร ป.ธ. ๔ ครูสอนนักธรรมชั้นเอก” ซึ่งทุก ๆ ปี หลวงพ่อไม่เคยลืมที่จะแชร์ ข้อมูลนี้ในเฟสบุ๊ก (Facebook) ส่วนตัวของท่านเพื่อรำลึกพระคุณของครูผู้ให้ความรู้ตั้งแต่ระดับชั้น ประถมศึกษาจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค หลวงพ่อได้บันทึกบรรยากาศการเรียนบาลีที่วัดโพธารามเมื่อครั้งที่หลวงพ่อมาอยู่ใหม่ไว้ว่า ข้าพเจ้าเรียนบาลีห้อง ก. ถือเป็นห้องคิงของสำนักเรียนวัดโพธารามเลย อาจารย์พระมหา จารึก สอนช่วงเช้า อาจารย์พระมหาชุมพลสอนช่วงบ่าย ก็น่าจะหลับนะช่วงนี้ แต่อย่านะ เสียงดัง ขู่ ดุ ข้าพเจ้าโดนเช่นกัน เช่น ปาแก้วเฉียดหัว ถามว่าอาจารย์โหดไหมสอนบาลี ตอบว่า ไม่ เพราะ ท่านเล็งไม่ให้ถูกลูกศิษย์อยู่แล้ว เทคนิคการสอนจะไม่เหมือนใครตรงที่ ถ้านักเรียนติดศัพท์หรือ ประโยคใด อาจารย์จะไม่มีทางบอกตรงๆเด็ดขาด ท่านจะถามอ้อมไปอ้อมมา ตีศัพท์แหลกละเอียด จำได้ว่า ให้พระเปีย (ชื่อจริงคือ บุญมี ปัจจุบัน พระครูโสภณปุญญวัชร เจ้าอาวาสวัดศรีไพศาล) แปลบาลี ท่านอาจารย์เรียกชื่อ เปีย เปีย เปีย จนดังลั่น แล้วเริ่มอธิบายแกะศัพท์ออกมาทีละเรื่อง เช่น กาเรติ ย่อมยังบุคคลให้กระทำ คำแรกที่ถามคือ เป็นศัพท์อะไร (นาม กิริยา อัพยยศัพท์ ฯลฯ) พอได้แล้วจะเริ่มกระจายศัพท์ออกให้เห็นรากศัพท์แท้จนนักเรียนเข้าใจถ่องแท้ ว่า ย่อม มาจากตัว ไหน ยังบุคคล มาจากอะไร ให้ มาจากวาจกอะไร กระทำออกมาจากไหน บางวัน สอนได้บรรทัด เดียว หมดเวลา ปีแรกที่เรียนบาลีไวยากรณ์ พระมหาฉลอม กาญฺจนธโร ป.ธ. ๔ (อาจารย์ฉลอม ทีสี) เป็น ผู้สอนมูล ๑ นาม ข้าพเจ้ายังจับทิศทางไม่ถูก คะแนนสอบนั้น ท่องแบบ ๑๐๐ คะแนน ข้อเขียน ๑๐๐ คะแนน เรียนครบเดือนต้องสอบวัดผลเลื่อนชั้น สอบข้อเขียนข้าพเจ้าได้ ๑๐๐ เต็ม แต่สอบ แบบ อาจารย์พระมหาชุมพล บอกว่า พระวีระท่องแบบจบนานแล้ว ต้องให้มหานันทชัย (อาจารย์ นันทชัย เมฆี) เป็นกรรมการสอบ (ช่วงนั้น พระมหานันทชัย คือมือปราบเซียน โหดสุด ๆ) ปรากฏ ว่า สอบได้ ๙๘ คะแนน ยังแค้นใจไม่หาย แค่หยุดกลืนน้ำลายแป๊บเดียว ถูกตัดไป ๒ คะแนน ทำให้ มูล ๑ สอบได้ที่ ๓ ผู้ที่ได้ที่ ๑ คือ สามเณรอำนาจ ใดจิ๋ว ตัวเล็กนิดเดียว ผูกใจไว้เลยว่า จะไม่ยอม เณรตัวเล็กได้ที่ ๑ อีกต่อไป มูล ๒ ถึง มูล ๘ เลยได้ที่ ๑ ตลอด พึ่งรู้ทีหลังว่า อาจารย์พระมหาชุมพล ท่านดูอุปนิสัยข้าพเจ้าแล้วว่า ต้องเล่นแบบนี้จึงจะ ไปถึงฝั่ง จึงให้มหานันทชัยตัดคะแนน ๒ คะแนน ถือว่า ๒ คะแนนนี้จริง ๆ ที่ทำให้ข้าพเจ้ามาถึงฝั่ง แห่งประโยค ป.ธ. ๙ ในยุคการเรียนบาลี/นักธรรมที่สำนักเรียนวัดโพธาราม นครสวรรค์ ช่วงประโยคต่ำ ๆ จะมี การแข่งขันการเรียนกันสูงมาก บรรยากาศเหล่านี้เกิดจากท่านอาจารย์พระมหาชุมพลพร้อมด้วย คณะครูได้จัดขึ้น โดยเฉพาะการสอบสนามวัดก่อนออกพรรษา นักธรรมชั้นตรี โท เอก บาลี ประโยค ๑ – ๒, ป.ธ. ๓, ป.ธ. ๔, ป.ธ. ๕ ทำให้นักเรียนดูหนังสือกันหนักมาก เพื่อชิงรางวัลในสนามวัด มีรายการรางวัลให้ชิงมากมาย เช่น รางวัลไม่ขาดเรียนทั้งนักธรรม/บาลี รางวัลที่ ๑, ๒, ๓ ชมเชย ประจำห้อง ก ข ค ง และรางวัลที่ ๑, ๒, ๓ ชมเชย ประจำสนามวัด รางวัลก็ไม่ใช่เป็นเงิน แบบปัจจุบันนี้ ส่วนมากจะเป็นกระเป๋า แฟ้ม ปากกาดีๆ หรือของใช้ วันประกาศผลจะเป็นวันก่อน ออกพรรษาหนึ่งวัน ทั้งนักเรียนทั้งครูสอนตื่นเต้นกันมาก เพราะทีมงานประกาศผลจะปกปิดเป็น ความลับมาก เรื่องสร้างบรรยากาศลุ้นสนุกแบบนี้ออกมาจากความคิดของท่านอาจารย์พระมหา ชุมพล และคณะครูในยุคนั้น ปีที่เรียนประโยค ๑ - ๒ นั้นจะเรียนนักธรรมเอกคู่ไปด้วย ดังนั้น รางวัลไม่ขาดเรียนทั้ง บาลีทั้งนักธรรมก็เป็นของข้าพเจ้า รางวัลที่ ๑ นักธรรมเอก รางวัลที่ ๑ ประโยค ๑ - ๒ ห้อง ก. และที่ ๑ สนามวัด ก็เป็นของข้าพเจ้า กวาดทุกรางวัล ๑ ทั้งหมด อาจารย์พระมหาสุเมธ ป.ธ. ๗ ยัง บ่นเลยว่า ท่านเป็นพระไม่แบ่งรางวัลให้เณรบ้าง ท่านอาจารย์พระมหาชุมพลท่านเป็นเจ้าภาพ ถวายน้ำปานะเลี้ยงรางวัลที่ ๑ ทั้งห้อง ให้กำลังใจอย่างมาก ประทับใจไม่รู้ลืม ยุคสมัยการกระตุ้น ให้เรียนนักธรรมบาลีมันเปลี่ยนไปไกลแล้ว ” ในระหว่างที่เรียนนักธรรมชั้นเอกกับพระมหาจำเนียร ป.ธ. ๔ หลวงพ่อก็ยังได้มุ่งมั่นที่จะ ศึกษาพระบาลีควบคู่กันไปด้วย เพื่อสานฝัน “พระมหา” โดยในการศึกษาบาลีประโยค ๑ - ๒ นั้น ได้รับความเมตตาจากพระมหาชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖ (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ พระครูวชิรปริยัติคุณ) และพระมหาจารึก ป.ธ. ๖ เป็นครูสอนบาลีประโยค ๑ - ๒ ทั้งยังมีพระราช วุฒิเมธีป.ธ. ๖ พระมหาฉลอม กาญฺจนธโร ป.ธ. ๔ และพระมหาบุญเหลือ ป.ธ. ๔ เป็นครูสอนบาลี ไวยากรณ์ จึงทำให้สามารถสอบไล่ได้ประโยค ๑ - ๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ พร้อมกับนักธรรมชั้นเอก ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ #ติดตามอ่านต่อตอนที่ ๕ #หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม |