จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช

หมวดหมู่ทั่วไป => จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร => ข้อความที่เริ่มโดย: apairach ที่ มีนาคม 11, 2025, 04:58:21 am



หัวข้อ: ตอนที่ ๘เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพระ
เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ มีนาคม 11, 2025, 04:58:21 am
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๘ : กลับถิ่นมาตุภูมิ

การกลับมาอยู่ในเขตจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งเป็นดินแดนมาตุภูมิของหลวงพ่อในครั้งนี้ เริ่มต้นมาจากพระสิทธิวชิรโสภณ (ช่วง ปญฺญาโชโต) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ และเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชร มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ เป็นเหตุให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด พระบรมธาตุว่างลง และยังหาพระเถระผู้ที่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งไม่ได้ต่อเนื่องมา จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยในช่วงเวลาที่ยังไม่มีพระบัญชาแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุนั้น ทาง เจ้าคณะผู้ปกครองได้แต่งตั้งให้พระครูอาทรวชิโรดม (อุดม อุปโล) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นเวลา ๔ ปี และแต่งตั้งพระมหาอดุลย์ อมโร ป.ธ. ๘ (ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระพรหมวัชรวิสุทธิ์) เจ้าอาวาสวัดคูยาง และเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชรในขณะนั้นมาเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุอีก ๑ ปี

ในระหว่างนี้ ทางพระเถระผู้ใหญ่ได้ทาบทามพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรวิสุทธิ์(อดุลย์ อมโร ป.ธ. ๘) ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดคูยาง และเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร ให้ย้ายมาเป็น เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุซึ่งเป็นพระอารามหลวง โดยส่วนตัวของพระพรหมวัชรวิสุทธิ์เองก็เป็น ลูกศิษย์ของพระสิทธิวชิรโสภณและเคยพำนักอยู่ที่วัดพระบรมธาตุมาก่อนนับว่ามีความเหมาะสม อย่างยิ่ง แต่ท่านไม่รับ ต่อมาทางพระเถระผู้ใหญ่จึงได้ทาบทามพระครูวชิรปริยัติคุณ (ชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖) เจ้าอาวาสวัดบุญมั่นศรัทธาราม รองเจ้าคณะอำเภอขาณุวรลักษบุรี ซึ่งเคยอยู่ที่ วัดพระบรมธาตุมาตั้งแต่เป็นพระภิกษุหนุ่ม ให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ท่านก็ไม่รับอีก ทำ ให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุว่างอยู่หลายปีต่อกัน

จนกระทั่งในราวปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๓ พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม กรุงเทพ ฯ ซึ่งมีชาติภูมิเป็นชาวอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ผู้เป็นครูสอนบาลีเปรียญเอกของหลวงพ่อและมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับ หลวงพ่อเป็นอย่างดีในฐานะคนพรานกระต่ายด้วยกัน ได้รับอาสาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัช มังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพ ฯ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือใน ขณะนั้น ว่าจะเป็นผู้หาเจ้าอาวาสให้วัดพระบรมธาตุเอง และเห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการงานในพระอารามได้ จากที่เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระอารามหลวง วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ และเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรม คุณาภรณ์ประสาธน์ วัดโพธาราม ทั้งยังเป็นชาวกำแพงเพชร น่าจะสามารถฟื้นฟูวัดพระบรมธาตุให้ รุ่งเรืองได้ จึงได้ทาบทามและเสนอชื่อหลวงพ่อไปยังเจ้าคณะภาค ๔ เพื่อให้มหาเถรสมาคมมีมติให้ หลวงพ่อไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงวัดพระบรมธาตุก่อน หากว่าสามารถจัดการบริหารดูแลวัดพระบรมธาตุได้ จึงค่อยกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเพื่อมีพระบัญชาแต่งตั้ง เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุต่อไป

หลวงพ่อได้บันทึกบอกเล่าเหตุการณ์ช่วงรอยต่อของชีวิตที่จะย้ายจากวัดโพธาราม จังหวัด นครสวรรค์ มาอยู่ที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร ไว้ในหนังสือคิดถึงพระมหาชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖ ว่า

“ข้าพเจ้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า พระมหาสายติ่ง ป.ธ. ๘ อาจารย์ใหญ่สำนักเรียนวัดโพธาราม และอาจารย์พระมหาชุมพล ป.ธ. ๖ เคยอยู่วัดพระบรมธาตุมาก่อน แต่ไม่ได้ถามใครเลยว่าท่าน อาจารย์ทั้งสองนั้นอยู่ในช่วง พ.ศ. ใด คงน่าจะก่อนที่ข้าพเจ้าไปอยู่วัดโพธาราม พ.ศ. ๒๕๒๓

เหตุการณ์ช่างเหลือเชื่อ คือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ข้าพเจ้าต้องกลับมาอยู่วัดโพธารามอีก รอบ เพราะหลวงอา พระเกศีวิกรม (กอง ติกฺขวีโร ป.ธ. ๖ นามสกุล ศิรินาค ปัจจุบันคือ พระราช พุฒิเมธี) ผู้มีพระคุณของข้าพเจ้า ผู้เปลี่ยนชีวิตเด็กบ้านนอกพามาจากบ้านคุยป่ารัง ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงอา เป็นมหาประโยค ๙ ในกรุง หลวงอาพระมหา กอง ได้เป็นโรคอัมพฤกษ์ เดินไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องลาออกจากวัดราชบุรณะมาอยู่วัดโพธาราม ดูแล ปรนนิบัติหลวงอา ฝึกเดินพาไปเปิดหูเปิดตา จนอาการหลวงอาดีขึ้นตามลำดับ หายเกือบปกติ อาจารย์พระมหาชุมพลดีใจมากที่ข้าพเจ้ามาอยู่วัดโพ ฯ อีกครั้ง หลวงอาได้เป็นเจ้าอาวาสวัด โพธาราม ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง

แต่เหตุการณ์พลิกผัน ประวัติศาสตร์ย้อนรอย เพราะหลวงพ่อพระสิทธิวชิรโสภณ เจ้า อาวาสวัดพระบรมธาตุ กำแพงเพชร มรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ กลางปี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ยังไม่มีใครเป็นเจ้าอาวาส ได้ทราบว่า (ไม่กล้ายืนยันจริงเท็จประการใด) พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) ซึ่งลูกศิษย์หลวงพ่อเจ้าคุณ พระสิทธิวชิรโสภณ รับอาสาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ว่า จะหาเจ้าอาวาสให้วัดพระบรมธาตุเอง และได้ทราบจากปากพระเดชพระคุณเจ้าคุณอาจารย์เองว่า ได้ทาบทามท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชรรูปปัจจุบัน (พระธรรมภาณพิลาส อดุลย์ ป.ธ. ๘) ซึ่งเคยอยู่วัดพระบรมธาตุมาก่อน ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ แต่ท่านไม่รับ จึงไป ทาบทามอาจารย์พระมหาชุมพล ที่วัดบุญมั่น ฯ นี่ก็ไม่รับเช่นกัน จนกระทั่งถึงคิวข้าพเจ้า ได้พบ ท่านอาจารย์เจ้าคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ที่วัดเลียบ สะพานพุทธ ท่านได้เรียกไปพบและสั่งการแบบปฏิเสธไม่ได้เลย ท่านได้ดำเนินการให้ข้าพเจ้ามาอยู่วัดพระบรมธาตุ แบบผู้ใหญ่ ผู้บริหารคุย กันภายใน จนกระทั่งย้ายจากวัดโพธารามมาอยู่วัดพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔
ราชทินนามของพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) ในช่วงเวลาที่หลวงพ่อบันทึก
 ภายหลังได้รับพระราขทานสมณศักดิ์เป็นที่พระพรหมวชิรวิสุทธิ์ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะภาค ๔

ยากมาก ๆ ที่จะเข้าไปกราบเหล่าเรื่องให้หลวงอาพระมหากองทราบได้ ในวันหนึ่ง พระมหาฉลอง เลขา ฯ เจ้าคณะภาค ๔ ก็บอกให้รีบดำเนินการ จึงตัดสินใจบอกหลวงอาว่า จะไป อยู่วัดพระบรมธาตุ ถามท่านว่า “เห็นด้วยไหม ?” ท่านพูดคำเดียวว่า “ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ ทำไง” แล้วทั้งคู่ก็ไม่คุยอะไรกันอีกเลย ได้แต่ก้มหน้า เมื่อวัดโพ ฯ เอาพระจากวัดพระบรมธาตุไป ๑๔ ประโยค มันจึงเป็นการที่วัดพระบรมธาตุเอาคืนมาเพียง ๙ ประโยค นี่คือการย้อนอดีตที่ แน่นแฟ้นของสองวัด”

หลวงพ่อเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า แท้จริงแล้วนั้นพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ได้มีความ ประสงค์ที่จะให้หลวงพ่อมาอยู่วัดพระบรมธาตุเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานของพระสิทธิวชิรโสภณ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระพรหมวชิรปัญญาจารย์และมีอายุมากแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งหลวงพ่อสอบได้ เปรียญธรรม ๙ ประโยคที่วัดราชบุรณะ แต่ว่าพระสิทธิวชิรโสภณไม่เห็นด้วย จึงทำให้พระพรหม วชิรปัญญาจารย์ยุติความคิดดังกล่าว และไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้หลวงพ่อทราบ จนกระทั่งหลวงพ่อ ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุแล้ว พระพรหมวชิรปัญญาจารย์จึงได้เล่าให้หลวงพ่อฟังว่าเคย เสนอให้หลวงพ่อขึ้นมาช่วยงานพระสิทธิวชิรโสภณ แต่ท่านปฏิเสธ แต่ถึงกระนั้นอาจด้วยบุพเพ วาสนาในอดีตก็ทำให้หลวงพ่อได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุต่อจากพระสิทธิวชิรโสภณ และ พัฒนาวัดพระบรมธาตุให้รุ่งเรือง สมดังคำกล่าวของพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งที่เคยกล่าวในช่วงที่วัด พระบรมธาตุยังไม่มีเจ้าอาวาสว่า “เดี๋ยวเจ้าของวัดตัวจริงก็มา เขาเคยสร้างไว้ เดี๋ยวเขาก็กลับมา ดูแลของเขา รับรองเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือแน่นอน”

แม้ว่าหลวงพ่อจะไม่อาจขัดคำสั่งของพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ได้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจ รับภาระธุระในการปกครองดูแลวัดพระบรมธาตุนั้น หลวงพ่อก็ได้ปรึกษากับครูบาอาจารย์และทาง ญาติพี่น้อง ญาติ ๆ ของหลวงพ่อได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ก่อนที่หลวงพ่อจะขึ้นมาอยู่วัดพระบรมธาตุ นั้นได้มาปรึกษากับทางญาติพี่น้องว่า ผู้ใหญ่สั่งให้ขึ้นมาอยู่วัดพระบรมธาตุ เพราะว่าอยู่ใกล้บ้าน ใกล้ญาติพี่น้อง จะเห็นด้วยไหม ? ทางญาติพี่น้องก็บอกว่าแล้วแต่หลวงพ่อจะตัดสินใจ แต่ถ้าได้มา อยู่วัดพระบรมธาตุจริงก็ดีใจอยู่ เพราะจะได้ไปมาหาสู่กันได้สะดวก ในครั้งนั้นหลวงพ่อยังได้พูดกับ ญาติพี่น้องว่า “เขาจะให้มาฝ่าวัดพระธาตุ ไม่รู้ว่าจะไหวไหม ไหวก็อยู่ ไม่ไหวก็กลับวัดโพ ฯ” ซึ่ง สะท้อนว่าในช่วงเวลานั้นวัดพระบรมธาตุมีปัญหาบางอย่าง

การขึ้นมาดูแลวัดพระบรมธาตุของหลวงพ่อในช่วงแรกก็ไม่ได้ราบรื่นนัก หลวงพ่อเดินทาง จากวัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ มายังวัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชรในช่วงหน้าหนาวต้น ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยมีคณะสงฆ์และญาติโยมจากวัดโพธารามตามมาส่งจำนวนไม่มากนัก แม้จะมีพระบัญชาแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดพระบรมธาตุแต่ทางพระภิกษุสามเณร ภายในวัดพระบรมธาตุก็หาได้ให้ความสำคัญกับหลวงพ่อไม่ เมื่อทางคณะวัดโพธารามมาส่งในช่วง เช้าแล้ว ก็เดินทางกลับ โดยที่ในช่วงเวลานั้นหลวงพ่อไม่รู้จักใครที่อยู่ภายในวัดพระบรมธาตุหรือ รอบ ๆ วัดพระบรมธาตุเลย โชคดีที่มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งทราบเรื่องว่าหลวงพ่อจะมาเป็นเจ้า อาวาสรูปใหม่ และมาถึงวัดพระบรมธาตุแล้ว จึงได้บอกให้โยมบิดาที่ชื่อ ยงยุทธ รักษาสิทธิ์ ซึ่งมี บ้านอยู่ใกล้กับวัดเข้ามาดูแลสอบถาม เมื่อโยมยงยุทธมาสอบถามก็ได้ความว่า หลวงพ่อจะมาเป็น เจ้าอาวาสรูปใหม่ของวัดจึงได้จัดภัตตาหารเพลมาถวาย และให้พักที่ชั้นล่างกุฏิเดิมของพระสิทธิ วชิรโสภณ โดยในช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่วัดพระบรมธาตุ หลวงพ่อก็ได้ครอบครัวของคุณโยมยงยุทธ รักษาสิทธิ์ในการอุปัฏฐากดูแล ทั้งยังทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถในพาไปปฏิบัติศาสนกิจยังที่ต่าง ๆ ด้วย

แม้ในพระบัญชาที่จะบุว่าแต่งตั้งให้หลวงพ่อเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ แต่ในเชิง พฤตินัยก็เป็นที่ทราบกันว่าหลวงพ่อมาอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ เพราะหลังจากได้รับคำสั่ง แต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าวาสวัดพระบรมธาตุได้ไม่นาน หลวงพ่อก็ได้รับคำสั่งแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการใน ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ขณะที่หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดพระบรมธาตุมีพรรษาเพียง ๒๒ พรรษา แต่ภายในวัดพระบรมธาตุมีพระภิกษุที่มีพรรษาอาวุโสกว่าหลวงพ่อหลายรูป และแต่ละรูป ต่างก็มีความพยายามที่จะแย่งชิงกันเป็นรักษาการเจ้าอาวาสหรือเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ แต่ พระเถระผู้เป็นเจ้าคณะปกครองไม่เห็นด้วย จึงเกิดความขัดแย้งภายในวัด ว่าที่เจ้าอาวาสรูปใหม่แต่ มีพรรษาน้อยกว่าพระภิกษุในวัดก็ย่อมมีความกังวลเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเวลาที่ลงปฏิบัติ ศาสนกิจร่วมกันที่ศาลาการเปรียญการเรียงลำดับการนั่งจะต้องทำอย่างไร

ขณะนั้น หลวงพ่อโชคดีที่มีพระภิกษุรูปหนึ่งคอยเป็นผู้ช่วยคือ พระกฤษฎา (ภายหลัง หลวงพ่อแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรมพระราชาคณะชั้นราชที่ พระครูปลัดกฤษฎา) ซึ่งมีอายุ พรรษาน้อยกว่าหลวงพ่อ ๑ พรรษา ได้แสดงความคิดเห็นท่ามกลางสงฆ์ว่า “พระมหาวีระมาเป็น เจ้าอาวาส เจ้าอาวาสเวลาขึ้นศาลาก็ต้องนั่งหัวแถวเท่านั้น ส่วนเรื่องสังฆกรรมก็ค่อยว่าตาม พรรษา” จากคำพูดดังกล่าวทำให้ไม่มีใครแสดงความคิดเห็นคัดค้าน หลังจากนั้นเวลาปฏิบัติ ศาสนกิจภายในวัดพระบรมธาตุหลวงพ่อก็จะนั่งหัวแถวตลอดในฐานะเจ้าอาวาส และภายหลัง เหล่าพระเถระที่มีพรรษาอาวุโสกว่าหลวงพ่อก็ยอมรับนับถือในความสามารถของหลวงพ่อ อีกทั้ง เมื่อจะทำกิจกรรมต่าง ๆ หลวงพ่อก็ขอคำปรึกษาจากพระเถระภายในวัดเสมอ จึงทำให้ความ ขัดแย้งตึงเครียดที่เคยมีมาค่อย ๆ หายไปในที่สุด

ส่วนความสัมพันธ์กับญาติโยมชาวนครชุมนั้น หลวงพ่อก็ค่อย ๆ ใช้วิธีเข้าหาเพื่อสร้าง ความคุ้นเคยและความสัมพันธ์ที่ดี ในการเดินออกบิณฑบาตตอนเช้าหลวงพ่อก็มักจะพูดคุย สอบถามสารทุกข์สุกดิบ เวลามีชาวบ้านมาที่วัดก็จะเข้าไปชวนคุยและปรึกษาหารือขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาวัด ทำให้ญาติโยมชาวนครชุมมีความหวังว่าวัดพระบรมธาตุนับจากนี้ไปจะเกิด ความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันในการทำกิจกรรมพัฒนาวัด หลวงพ่อจะเป็นผู้นำ ในการพัฒนาเอง ลงมือทำเป็นตัวอย่างแก่พระภิกษุสามเณรภายในวัด เมื่อพระภิกษุสามเณรเห็น หลวงพ่อลงมือทำก็เกิดความเกรงใจและสำนึกต่อหน้าที่และกิจวัตรของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติ ก็ลงมือทำ ตามหลวงพ่อ

นอกจากนี้ หลวงพ่อยังรับธุระของคณะสงฆ์ในการเป็นผู้ดำเนินรายการ “ธรรมะรับอรุณ” ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดกำแพงเพชร (สวท. 97.25 Mhz) ช่วงเวลา ๐๕.๐๐ - ๐๖.๐๐ น. เป็นประจำทุกวัน และจัดรายการเช่นนี้เรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๔ จนกระทั่งอาพาธหนักจึงมอบหมายให้พระเถระรูปอื่นจัดรายการแทน การจัดรายการวิทยุดังกล่าว ก็ทำให้ชาวกำแพงเพชรได้รู้จักชื่อของหลวงพ่อมากขึ้น และมีแฟนคลับติดตามรายการ ซึ่งมักจะ เดินทางมาทำบุญที่วัดในช่วงวันหยุดจำนวนหนึ่งด้วย ภายหลังในยุคโซเชี่ยลมีบทบาทในสังคม หลวงพ่อยังได้จัดรายการ “สนทนาธรรมกับหลวงตาเอก” ผ่านทางเฟสบุ๊กส่วนตัว (Facebook Live) ซึ่งมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ศิษยานุศิษย์สามารถรับชมรับฟังเทศนาของหลวงพ่อได้จากทั่ว โลก จนกระทั่งอาพาธหนักต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชหลวงพ่อจึงงดจัดรายการ ดังกล่าว

คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญวงศ์ ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กับวัดพระบรมธาตุได้เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ หลวงพ่อมาอยู่วัดพระบรมธาตุใหม่ ๆ ว่า “จำได้ว่าหลวงพ่อมาอยู่วัดพระบรมธาตุใหม่ ๆ เป็นช่วง หน้าหนาวต้นปี ๔๔ ครูเพ็ญตามหาลูกหมาที่หายออกจากบ้านมาอยู่ในวัด เมื่อเข้ามาในวัดก็ถาม พระเณรตามกุฏิต่าง ๆ ว่าเจอไหม จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงจากพระแปลกหน้ารูปหนึ่งที่ทำงานอยู่กับ สามเณรว่า กะอีแค่หมาตายตัวเดียวทำเป็นโวยวายทั่ววัด เณรเอาไปทิ้งแล้ว ไม่ต้องตามหาหรอก ครูเพ็ญก็แปลกใจ รู้ได้ไงว่าหมาที่ตายนั้นคือหมาครูเพ็ญ ก็เลยถามต่อว่า ท่านเป็นใครคะ หลวงพ่อ ตอบว่า คุมเณรทำงานได้ขนาดนี้ก็คงเป็นเจ้าอาวาสสิ จากนั้นครูเพ็ญก็คอยดูว่าเจ้าอาวาสใหม่จะทำ อะไรในวัดบ้าง สุดท้ายก็เห็นว่าเจ้าอาวาสใหม่ทำทุกอย่างจริง ๆ กวาดวัด ปรับภูมิทัศน์ ทำงานเป็น ตัวอย่างพระเณร วัดจากที่รก ๆ ก็เริ่มสะอาดน่าชมขึ้น คนก็เริ่มเข้าวัดมากขึ้น ครูเพ็ญก็เข้ามา ช่วยงาน ช่วงแรก ๆ ก็ยังมีครูสุภิตรา* ครูอัญชลี** ครูสาว***ทีมจากวชิรปราการก็เข้ามา ทุกคน มาช่วยงานวัดเพราะศรัทธาในตัวหลวงพ่อ และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเจริญรุ่งเรืองมาได้จนถึงขนาดนี้”
* คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ ข้าราชการบำนาญ อดีตครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม.
** คุณครูอัญชลี กัลปพฤกษ์ ครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม.
*** คุณครูอรุณ ยอดนิล ครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม.

ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๔ หลวงพ่อได้รับข่าวอันเป็นมงคลยิ่งของชีวิต พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้หลวงพ่อเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เปรียญ ที่ “พระศรีวชิราภรณ์” ดังปรากฏในสัญญาบัตรว่า “ให้พระมหาวีระ ๙ ประโยค วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร เป็น พระราชาคณะมีนามว่า พระศรีวชิราภรณ์” ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นวันที่เข้ารับ พระราชทานสัญญาบัตรและพัดยศ นำมาซึ่งความปลื้มปีติยินดียิ่งของญาติพี่น้องและศิษยานุศิษย์ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ พุทธศาสนิกชนชาวนครชุมและใกล้เคียงต่างก็เรียกหลวงพ่อว่า “ท่าน เจ้าคุณศรี ฯ” ตามคำขึ้นต้นของราชทินนามที่ได้รับพระราชทาน

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๙
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม