หัวข้อ: สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 กษัตริย์เมืองเทพนคร สืบค้นโดยอาจารย์รุ่งเรือง สอนชู เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ ธันวาคม 22, 2010, 04:16:46 pm สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) กษัตริย์เมืองเทพนคร
สืบค้นโดยอาจารย์รุ่งเรือง สอนชู สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นอาณาจักรที่ แผ่ขยายอาณาเขตกว้างขวางออกไป จากภาคเหนือ ภาคตะวันออกถึงภาคใต้ของประเทศไทยและบางส่วนของพม่า มีอายุยืนยาวกว่า 400 ปี แต่พระราชประวัติของพระองค์นั้นมีที่มาจากหลายแหล่งแต่ยังไม่มีหลักฐานที่ยุติได้ว่ามีเชื้อสายหรือพระราชวงศ์มาจากที่ใดแน่ มีผู้ที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์หลายท่านยังเชื่อว่า มีถิ่นกำเนิดอยู่ในจังหวัดกำแพงเพชร ผู้เขียนจึงขอนำหลักฐานจากพงศาวดาร โบราณคดี ที่ผู้ที่มีความรอบรู้ได้กล่าวไว้นั้น มานำเสนอให้ผู้สนใจได้รับรู้ถึงพระราชประวัติอีกครั้งหนึ่ง พระราชประวัติของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ฉบับดั้งเดิม จากเรื่องเทศนาจุลยุทธการวงศ์ ซึ่งถือว่าเป็นเอกสารชิ้นแรกที่กล่าวถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส(สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ในหนังสือประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1 หน้า 189-191 ได้ทรงเทศนาถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ไว้ดังนี้ ? บัดนี้จะได้รับพระราชทานถวายพระสัทธรรมเทศนา ในจุลยุทธการวงศ์ สำแดงเรื่องลำดับโบราณกษัตริย์ในสยามประเทศนี้ อันบุพพาจารย์รจนาไว้ว่า กาลเมื่อพระเจ้าเชียงรายพ่ายแพ้ยุทธสงครามแต่พระยาสตองเสียพระนคร พาประชา ราษฎรชาวเมืองเชียงราย ปลาสนาการมาสู่แว่นแคว้นสยามประเทศ ถึงราวป่าใกล้เมืองกำแพงเพชร ด้วยบุญญานุภาพแห่งพระองค์ สมเด็จอมรินทร์ทราธิราชนิมิตพระกายเป็นดาบสมาประดิษฐานอยู่ตรงหน้าช้างพระที่นั่ง ตรัสบอกให้ตั้งพระนครในที่นี้เป็นชัยมงคลสถาน บรมกษัตริย์ก็ให้สร้างพระนครลงในที่นั้น จึงให้นามชื่อว่าเมืองไตรตรึงษ์ พระองค์เสวยไอศุริยสมบัติอยู่ในพระนครนั้นตราบเท่าทิวงคต พระราชโอรสนัดดาครองสมบัติสืบๆ กันมาถึงสี่ชั่วกษัตริย์ ครั้งนั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่ง เป็นปุ่มปมไปทั้งร่างกาย ทำไร่ปลูกพริกมะเขืออยู่ในแดนพระนครนั้น เก็บผลพริกมะเขือขายเลี้ยงชีวิต แลมะเขือต้นหนึ่งอยู่ใกล้ห้าง บุรุษนั้นไปถ่ายปัสสาวะลงที่ริมต้นนั้นเป็นนิจ มะเขือนั้นออกผล ผลหนึ่งใหญ่กว่ามะเขือทั้งปวง พอพระราชธิดาไตรตรึงษ์มีพระทัยปรารถนาจะเสวยผลมะเขือ จึงให้ทาสีไปซื้อ ก็ได้ผลใหญ่นั้นมาเสวย นางก็ทรงครรภ์ ทราบถึงพระราชบิดาตรัสไต่ถาม ก็ไม่ได้ความว่าคบหาสมัครสังวาสกับบุรุษใด ต่อมาพระธิดา ประสูติพระราชกุมาร พระรูปโฉมงามประกอบด้วยลักษณะอันบริบูรณ์ พระญาติทั้งหลายบำรุงเลี้ยงพระราชกุมารจนโตขึ้น ประมาณพระชนม์สองสามขวบ สมเด็จพระอัยกาปรารถนาจะทดลองเสี่ยงทายแสวงหาบิดาพระราชกุมาร จึงให้ตีกลองป่าวร้องบุรุษชาวเมืองทั้งหมด ให้ถือขนมหรือผลไม้ติดมือมาทุกคน มาพร้อมกันที่หน้าพระลาน ทรงพระอธิษฐานว่าถ้าบุรุษผู้ใดเป็นบิดาของทารกนั้น ขอจงทารกนี้รับเอาสิ่งของในมือแห่งบุรุษนั้นมาบริโภค แล้วให้อุ้มกุมารนั้นออกไปให้ทุกคนรับรู้ บุรุษกายปมนั้นได้แต่ก้อนข้าวเย็นถือมาก้อนหนึ่ง พระราชกุมารนั้นก็เข้ากอดเอาคอ แล้วรับเอาก้อนข้าวมาบริโภค ชนทั้งปวงเห็นก็พิศวงชวนกันกล่าวติเตียนต่าง ๆ สมเด็จพระบรมกษัตริย์ก็ละอายพระทัย ได้ความอัปยศ จึงพระราชทานพระราชธิดาและพระนัดดาให้แก่บุรุษแสนปมให้ใส่แพลอยไปถึงที่ไร่มะเขือไกลจากพระนครทางวันหนึ่ง บุรุษแสนปมก็พาบุตรภริยาขึ้นสู่ไร่อันเป็นที่อยู่ ด้วยอานุภาพแห่งชนทั้งสาม บันดาลให้สมเด็จอมรินทริราช นิมิตกายเป็นวานรนำทิพยเภรีมาส่งให้นายแสนปมนั้น แล้วตรัสบอกว่า ท่านจะปรารถนาสิ่งใดจงตีเภรีนี้ อาจให้สำเร็จที่ความปรารถนาทั้งสิ้น บุรุษแสนปมปรารถนาจะให้รูปงามจึงตีกลองนั้นเข้า อันว่าปมเปาทั้งปวงก็อันตรธานหาย รูปชายนั้นก็งามบริสุทธิ์ จึงนำเอากลองนั้นกลับมาสู่ที่สำนัก แล้วบอกเหตุแก่ภริยา ส่วนพระนางนั้นก็กอร์ปด้วยปิติโสมนัส จึงตีกลองนิมิตทอง ให้ช่างกระทำอู่ทองให้พระราชโอรสไสยาสน์ เหตุดังนั้นพระราชกุมารจึงได้พระนามปรากฏว่าเจ้าอู่ทองจำเดิมแต่นั้นมา เมื่อจุลศักราชล่วงได้ 681 ปี บิดาแห่งเจ้าอู่ทองราชกุมาร จึงประหารซึ่งทิพยเภรีนิมิตเป็นพระนครขึ้นใหม่ที่นั้น ให้นามชื่อว่าเทพนคร มีมหาชนทั้งปวงชวนกันมาอาศัยอยู่ในพระนครนั้นเป็นอันมาก พระองค์ก็ได้เสวยไอศุรียสมบัติเมืองเทพนคร ทรงพระนามกรชื่อพระเจ้าศิริไชยเชียงแสน เมือจุลศักราชล่วงได้ 706 ปี พระเจ้าศิริไชยเชียงแสนเสด็จดับขันธ์ทิวงคต กลองทิพย์นั้นก็อันตรฐานหาย สมเด็จพระเจ้าอู่ทองราชโอรสได้เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดาได้ 6 พระวัสสา ทรงพระปรารภจะสร้างพระนครใหม่ จึงให้ราชบุรุษให้เที่ยวแสวงหาภูมาประเทศที่มีพรรณมัจฉาชาติบริบูรณ์ครบทุกสิ่ง ราชบุรุษเที่ยวหามาโดยทักษิณทิศ ถีงประเทศที่หนองโสน กอรปด้วยพรรณมัจฉาชาติพร้อมบริบูรณ์ สมเด็จบรมกษัตริย์ทรงทราบ จึงยกจตุรงค์โยธาประชาราษฎรทั้งปวง มาสร้างพระนครลงในประเทศที่นั้นในกาลเมือจุลศักราชล่วงได้ 712 ปี ให้นามบัญญัติชื่อว่ากรุงเทพมหานครนามหนึ่ง ตามนามพระนครเดิมแห่งพระราชบิดา ให้ชื่อว่าทวาราวดี นามหนึ่ง เหตุมีคงคาล้อมรอบเป็นของเขตดุจเมืองทวาราวดี ให้ชื่อศรีอยุธยานามหนึ่ง เหตุเป็นที่อยู่แห่งชนชราทั้งสอง อันชื่อยายศรีอายุและตาอุทะยาเป็นสามีภริยากัน อาศัยอยู่ในที่นั้น ประกอบพร้อมด้วยนามทั้งสามจึงเรียกว่า กรุงเทพหานคร บวรทวาราวดี ศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอู่ทองได้ราชาภิเษก เสวยสวริยาธิปัตย์ถวัลยราท ณ กรุงเทพมหานคร ทรงพระนามสมเด็จพระรามาธิบดี และวันเมื่อราชาภิเษกนั้น ได้สังข์ทักษิณาวรรต ณ ภายใต้ต้นไม้หมันในพระนคร เมื่อแรกได้ราชสมบัตินั้นพระชนม์ได้ 37 พระวัสสา แล้วให้พระบรมราชาธิราชผู้เป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ตรัสเรียกว่าพระเชษฐาธิราชไปปกครองสมบัติ ณ เมืองสุพรรณบุรี ให้พระนามพระราเมศวรกุมารไปผ่านสมบัติ ณ เมืองลพบุรี ครั้งนั้นมีเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร 16 เมือง คือ เมืองมะละกา เมืองชะวา เมืองตะนาวสี เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลำเลิง เมืองสงขลา เมืองจันทบูร เมืองพระพิศนุโลกย์ เมืองสุโขทัย เมืองพิไชย เมืองพิจิตร เมืองสวารรคโลกย์ เมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์ พระองค์ทรงสร้างพุไทยสวรรค์ยาวาศวิหารและรัตนะวนาวาศรีวิหาร คือวัดป่าแก้ว พระสถิตอยู่ในราชสมบัติ 20 พระวัสสาก็เสด็จทิวงคต ? จากเรื่องเทศนาจุลยุทธการวงศ์ได้กล่าวถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)นั้น พอที่จะสรุปเป็นข้อๆได้ว่า 1. พระราชวงศ์ทางผ่ายพระชนนีมาจากเชียงราย สร้างเมืองไตรตรึงษ์ ส่วนพระชนก(บุรุษแสนปม)ทรงพระนามภายหลังว่าพระเจ้าศิริไชยเชียงแสน ยังไม่ทราบว่ามาจากที่ใด 2. พระเจ้าศิริไชยเชียงแสนสร้างเมืองเทพนครเมื่อจุลศักราช 681 หรือพุทธศักราช 1862 3. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) ขึ้นเป็นกษัตริย์เมืองเทพนครต่อจากพระเจ้าศิริไชยเชียงแสน เมือจุลศักราช 706 หรือปีพุทธศักราช 1887 ครองเมืองเทพนครได้ 6 พรรษาได้ย้ายไปสร้างเมืองกรุงศรีอยุธยาและสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมือจุลสักราช 712 หรือพุทธศักราช 1893 4. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) มีความเกี่ยวข้องกับพระบรมราชาธิราช(หลวงพะงั่ว) ถือเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ และตรัสเรียกพระเชษฐา พระราชประวัติของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) จากเทศนาจุลยุทธการวงศ์ ข้อความที่กล่าวในแต่ละข้อ มีหลักฐานจากพงศาวดาร และโบราณคดีที่จะนำมารับรองได้ว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นเชื้อสายชาวกำแพงเพชรจริง ดังนี้ พระราชวงศ์ทางผ่ายพระชนนีมาจากเชียงรายสร้างเมืองไตรตรึงษ์ พงศาวดารโยนก ในหนังสือประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 7 หน้า 489-491 กล่าวถึง พระเจ้าไชยศิริเจ้าเมืองไชยปราการ ถูกกองทัพจากเมืองสเทิม(รามัญ)เข้าโจมตี ไม่สามารถป้องกันรักษาเมืองไชยปราการไว้ได้ จึงพาบรรดาข้าราชการและประชากรหลบหนีมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งริมแม่น้ำปิง(เมืองแปบ)เมือครบกำหนด 3 วัน ได้ฝังหลักเมืองตั้งพระนคร ขนานนามขึ้นเป็น ?เมืองกำแพงเพชร? เมื่อจุลศักราช 366 วันอังคาร เดือน 9 แรม 4 ค่ำ ปีมะเส็ง (พ.ศ. 1547) และได้สร้างเมืองไตรตรึงษ์ในเวลาต่อมา ดังนั้นจากเทศนาจุลยุทธการวงศ์ กษัตริย์เชียงรายผู้สร้างเมืองไตรตรึงษ์ ตรงตาม พงศาวดารโยนกคือพระเจ้าไชยศิริ เจ้าเมืองไชยปรากการ ที่พาประชากรหลบหนีมาถึงเมืองแปบแล้วสถาปนาขึ้นเป็น ?เมืองกำแพงเพชร?และสร้างเมือง ?ไตรตรึงษ์?ในคราวหลัง พระเจ้าศิริไชยเชียงแสน(บุรุษแสนปม)สร้างเมืองเทพนคร เทศนาจุลยุทธการวงศ์ พระเจ้าศิริไชยเชียงแสน(บุรุษแสนปม)ได้ทรงสร้างเมืองเทนคร เมื่อจุลศักราช 681(พุทธศักราช 1862) ในช่วงระยะที่ยังไม่พบเมืองเทพนครนั้น นักประวัติศาสตร์จึงยังไม่เชื่อว่าเรื่องราวในเทศนาจุลยุทธการวงศ์เป็นความจริง เป็นเพียงตำนานที่เล่ากันต่อมา ในคราวหลังพบหลักฐานทางโบราณคดี มีเมืองไตรตรึงษ์และเมืองเทพนครเกิดขึ้นจริง ดังผังเมืองโบราณและภาพถ่าย ซึ่งกรมศิลปากรได้ทำบัญชีทะเบียนทรัพย์สินด้านโบราณสถาน จังหวัดกำแพงเพชร ไว้ สถานที่ตั้งและและภาพถ่ายเมืองไตรตรึงษ์และเมืองเทพนคร สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) เป็นกษัตริย์เมืองเทพนคร ตำนานกรุงเก่า ตอน 1 ประวัติกรุงเก่า พระราชพงศาวดารสังเขป ในหนังสือประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม5 หน้า 9 ได้กล่าวว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นกษัตริย์เมืองเทพนคร ก่อนไปตั้งกรุงศรีอยุธยา โดยคัดลอกข้อความเป็นบางส่วนมาอธิบายดังนี้ ? ครั้นเมื่อจุลศักราช 712 ปี พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์เชียงราย ซึ่งเสวยราชสมบัติในเมืองเทพนคร เมืองนี้ที่จะอยู่ใกล้กับเมืองที่มีอำนาจ จะเป็นที่คับแคบ ซึ่งพระเจ้าอู่ทองจะขยายเขตแดนออกไปอีกไม่ได้ หรือกลัวเมืองอื่นจะมาทำอันตรายได้ง่ายในอย่างใด จึงได้เสด็จลงมาสร้างเมืองหลวงขึ้นที่ตำบลหนองโสนข้างทิศตะวันตกกรุงศรีอยุธยา? จากข้อความ สรุปได้ว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง)ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เมืองเทพนครต่อจากพระเจ้าศิริใชยเชียงแสน แล้วจึงย้ายไปสร้างกรุงศรีอยุธยาในคราวหลัง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) กษัตริย์เมืองอู่ทอง เป็นชาวกำแพงเพชร กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมิ จาก พงศาวดารโยนก ในหนังสือประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 7 หน้า 435-436 กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมิ ได้เรียงลำดับไว้ว่า ลำดับที่ 6 พระยากาแต เชื้อนเรศร์หงสา ลำดับที่ 7 อู่ทอง มาแต่เชลียง ลำดับที่ 8 ขุนหลวงพงั่ว ลำดับที่ 7 อู่ทอง มาแต่เชลียง ซึ่ง ?เชลียง? ก็หมายถึงเมืองกำแพงเพชรนั่นเอง เรื่อง ?อธิบายรัชการครั้งกรุงเก่า? ซึ่งเป็นพระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเศก เล่ม 1 หน้า 356 ได้กล่าวถึงความเกี่ยวข้องของสมเด็จพระบรมราชาธิราช(หลวงพงั่ว) กับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ดังนี้ ? อธิบาย เห็นว่าควรจะนับเปนราชวงษ์สุวรรณภูมิ์ เพราะเปนราชโอรสของพระเจ้ากรุงสุวรรณภูมิ์ ไม่ได้ร่วมวงษ์กับสมเด็จเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เป็นแต่เขยราชวงษ์สุวรรณภูมิ์? ชาวเมืองสุพรรณบุรี ได้กล่าวถึงประวัติของเมืองสุพรรณบุรีที่พบได้ในเอกสารต่าง ๆ กล่าวไว้ดอนหนึ่งมีข้อความว่า ?เมื่อพระเจ้ากาแต เชื้อสายมอญได้เสวยราชย์ในเมืองอู่ทอง แล้วย้ายราชธานีกลับมาอยู่ที่เมืองพันธุมบุรี ได้มอบหมายให้มอญน้อย (พระญาติ) สร้างวัดสนามไชยและบูรณะวัดลานมะขวิด (วัดป่าเลไลยก์) ในบริเวณเมืองพันธุมบุรีเสียใหม่ เมื่อบูรณะวัดแล้วทางราชการได้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา และชวนกันออกบวชถึงสองพันคน จึงได้เรียกชื่อเมืองนี้ใหม่ว่า "เมืองสองพันบุรี" เมืองอู่ทอง มีกษัตริย์ครองราชย์สืบต่อกันมาหลายพระองค์ เรียกว่า "พระเจ้าอู่ทอง" ทั้งสิ้น และพระราชธิดาของพระเจ้าอู่ทอง ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าราม โอรสพระเจ้า ศิริชัยเชียงแสน ต่อมาพระเจ้ารามขึ้นครองเมืองอู่ทองแทน (พ่อตา) คนทั่วไปก็เรียกว่า "พระเจ้าอู่ทอง" เมื่อขุนหลวงพะงั่ว (พี่มเหสี) ขึ้นครองเมืองสองพันบุรี และได้ย้ายไปครองเมืองอู่ทอง เมืองอู่ทองต้องกลายเป็นเมืองร้าง เพราะแม่น้ำจระเข้สามพันเปลี่ยนทางเดินใหม่และตื้นเขิน ซ้ำร้ายยังเกิดโรคห่า (อหิวาตกโรค) อีกด้วย ขุนหลวงพะงั่วจึงย้ายกลับมาประทับที่ เมืองสองพันบุรี และภายหลังจึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองนี้เสียใหม่ว่า "เมืองสุพรรณบุรี" เมื่อ พ.ศ. 1890? จากหลักฐานที่นำมากล่าวนั้นพอที่จะสรุปได้ว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง)ได้เป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์เมืองอู่ทอง(เป็นน้องเขยหลวงพะงั่ว) ต่อมา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) ได้ขึ้นครองเมืองอู่ทอง และในคราวหลังหลวงพะงั่วได้ขึ้นครองเมืองอู่ทองต่อจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) บทสรุป หลักฐานต่าง ๆ ที่นำมาอธิบายนั้นสามารถที่จะกล่าวพระราชประวัติของสมเด็จรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ว่า เป็นชาวกำแพงเพชร เป็นโอรสของพระเจ้าศิริไชยเชียงแสน ผู้สร้างเมืองเทพนคร ได้เป็นราชบุตรเขยเมืองอู่ทอง( เป็นน้องเขยของหลวงพะงั่ว) ได้เป็นกษัตริย์เมืองอู่ทอง ได้เป็นกษัตริย์เมืองเทพนคร และครั้งสุดท้ายเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น บุคคลผู้เป็นโอรสของพระเจ้าศิริไชยเชียงแสน เป็นกษัตริย์เมืองอู่ทอง เป็นกษัตริย์เมืองเทพนคร และเป็นปฐมกษัตริย์กรุงศรีอยุทธยา ก็คือบุคคลคนเดียวกันนั่นเอง ที่ทรงพระนามว่า ?สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)? อ้างอิง คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี, ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนา ภิเษก เล่ม 1. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, 2542. คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี, ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนา ภิเษก เล่ม 5. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, 2544. คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี, ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนา ภิเษก เล่ม 7. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, 2545. |