หัวข้อ: เพลงฉ่อยวังแขม เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ สิงหาคม 11, 2014, 09:17:47 pm เพลงฉ่อย วังแขม
เพลงฉ่อย เป็นการเล่นพื้นเมืองประเภทหนึ่งของภาคกลาง พบได้โดยทั่วไป การแสดงเพลงฉ่อย เพลงฉ่า หรือเพลงวง โดยประเพณีแล้ว จะเริ่มด้วยการไหว้ครู ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง จะออกมาร้องไหว้คุณพระศรีรัตนตรัย คุณครูบาอาจารย์ คุณบิดามารดา เสียก่อน เมื่อจบแล้วปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงสาธุการจบแล้ว พ่อเพลงก็จะร้องเป็นการเบิกโรง เรียกว่า ฉะหน้าโรง ผู้ชายจะร้องเชิญชวนจนฝ่ายหญิงออกมาร่วมร้องด้วย แล้วก็เกี่ยวพาราสีและว่า เหน็บแนมกันเจ็บ ๆ แสบ ๆ ในสมัยโบราณจะเต็มไปด้วยคำหยาบโลน หรือมีความหมายสองแง่สองง่าม การร้องตอนนี้เรียกว่า ประ น่าจะย่อมาจากคำว่าประคารม เป็นตอนที่ผู้ชมชอบฟังกันมาก เพราะจะได้เห็นความสามารถของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงใช้ปฎิภาณร้องแก้กันได้ถึงอกถึงใจ ถ้าแก้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ก็เป็นที่อับอายกัน เมื่อประในตอนฉะหน้านี้หมดกระบวนแล้ว ในสมัยโบราณมักจะร้องส่งให้ปี่พาทย์รับเพลงหนัง เพลงฉ่อย ที่ตำบลลานดอกไม้ จังหวัดกำแพงเพชร ยังสามารถรักษาวิธีการเล่นแบบโบราณได้ คือมีบทไหว้ครู มีปี่พาทย์ส่ง รับ ในทุกบทตอน น่าสนใจมาก ส่วนการเล่นเพลงฉ่อยของตำบลวังแขม อำเภอคลองขลุงจังหวัดกำแพงเพชร ได้ดัดแปลงให้ง่ายขึ้น โดยใช้กรับ ฉิ่ง ไม่ใช้ปี่พาทย์ รับร้องส่ง นำโดยกำนันฟุ้ง ปานสุด นายสกุล ต๊ะปินตา อาจารย์สมหมาย หวังทรัพย์ และศิลปินพื้นบ้านหวังแขมอีกเป็นจำนวนมาก ร้องรำเล่นได้อย่างสนุกสนานและเหมาะสม นายสกุล ต๊ะปินตา สามารถแต่งบทร้องเพลงฉ่อยได้ทันสมัย และเหมาะกับเรื่องราวราวของ สถานการณ์ ที่ต้องการได้อย่างดีที่สุด ครูเพลงฉ่อยที่มีชื่อเสียงมากคือ นายเหรียญ นาคนาม อายุประมาณ ๙๐ ปี ( ๒๕๕๒) ได้แสดงเพลงฉ่อยเล่นเล่นมาตั้งแต่หนุ่มๆ ยืนยันว่าที่วังแขมมีการเล่นเพลงฉ่อยมานับร้อยปีแล้ว ในปัจจุบันยังสืบทอด มายังรุ่นหลังได้อย่างดีงามและเหมาะสม เพลงฉ่อยโดยทั่วไป แต่ละวรรดของการเขียน จะใช้คำ ๖ คำ ถึง ๙ คำ เพราะเหตุเป็นกลอนเพลง หรือกลอนว่าปากเปล่า โดยอาศัยปฏิภาณเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงกำหนดคำในวรรคแน่นอนทีเดียวไม่ได้ เวลาร้องถ้าใช้คำน้อยก็จะต้องเอื้อนยาว หากใช้คำมากให้เอื้อนสั้น และบทหนึ่งจะยาวเท่าไหร่ก็ได้ เมื่อว่ามาจนจะจบบทแล้ว ลูกคู่รับพร้อมกันว่า " ชา ฉา ชา ฉาด ชา หน่อย แม่ " แต่หากเป็นบทไหว้ครูลูกคู่จะต้องว่าสองวรรคสุดท้ายทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงรับด้วย " ชา ฉา ชา ฉาด ชา หน่อย แม่ " ทีหลัง คำสุดท้ายของวรรคหน้า จะต้องสัมผัสกับคำที่ ๔ หรือคำที่ ๕ ของวรรคหลัง และคำสุดท้ายของวรรคหลังทุกวรรค จะต้องสัมผัสกันตั้งแต่ต้นจนจบ เพลงฉ่อยเป็นเพลงที่ว่าแก้กันระหว่างชายหญิง บางทีบางท่านก็เรียกว่า เพลงวง เพราะเวลาเล่นจะต้องยืนล้อมวงกันเล่น พ่อเพลงและแม่เพลงจะต้องอยู่หัวแถว ลูกคู่ที่ยืนถัดมา เรียกว่า คอสอง คอสาม ฯลฯ ตามลำดับ เวลาเล่นขยับเท้าช้า ๆ หมุนไปรอบๆ เพลงฉ่อยวังแขม มีบทหลายบท และมีการร้องหลายแบบ นายเหรียญ นาคนาม ได้บันทึกไว้ ดังนี้ ตัวอย่างเพลงฉ่อยไปบ้านผู้หญิง ร้องดังนี้ ชาย ได้ยินถ้อยสนองเข้ามาร้องถาม พี่จะแจ้งความให้เข้าใจ พี่จะชี้ปัญหาให้น้องเล็งเห็น ให้มันเด็ดกระเด็นเหมือนเด็กมันตกกระได เพราะมันเกิดสวรรค์ขึ้นมาในอก เดี๋ยวนี้มันเกิดนรกมาในใจ แต่พอตื่นข้างเช้ามันหาวๆ เรอๆ พกๆ เพ้อๆ เหมือนจะเป็นไข้ แต่ชั้นจะนอนหรือก็นอนไม่หลับ มันให้กระสับกระส่าย เลยจัดแจงซื้อไต้ห่อด้วยใบเตย เอาลงเรือแล้วก็เลยไปค้าขาย เที่ยวได้เจียวกระโดกคอนกะเด็ก ไปตามบ้านเล็กบ้านใหญ่ ไต้ของพี่มันเป็นไต้เมืองล่าง ห่อด้วยน้ำมันยางหัวใส พี่เห็นบ้านนี้มีคนมาก แวะเรือหยุดพักขายไต้ น้องจะเออไหลเล่าน้องจะเอาไหมน้อง ไต้ของพี่ไม่ต้องใช้ไฟ ไต้ของพี่ไม่ต้องใช้ขีด พอเอามือดีดๆ มันก็ลุกขึ้นได้ หญิง ไต้ของพี่ห่อด้วยใบเตย บ้านพี่คงเคยค้าขาย ให้เอากลับไปขายให้พวกบ้านของพี่ พวกชาวบ้านนี้เขาไม่ใช้ ชาย พี่อุตส่าห์แจวเรือมาตั้งแต่เช้า จะมาขายให้เจ้ารู้ไหม ไต้ของพี่มันเป็นไต้เมืองล่าง หัวเยิ้มเป็นยางบอนไหล ถ้าว่าดีดมันยังไม่ลุกขะหยุกมันยังไม่ตื่น ก็ให้เอาไต้กลับมาคืนเจ้าของไต้ หญิง บ้านน้องเขาใช้ตะเกียง ไต้ห่อเปลือกเรียงเขาไม่ใช้ พี่ก็ถ่อเรือเหนื่อยมา เชิญไปเคหาไม่เป็นไร จะได้พักผ่อนหย่อนกายา เพราะว่าแดดมันกล้าหนทางหรือมันก็ไกล ตัวอย่างเพลงชิงพุ่ม หนึ่งหญิงสองชาย ชาย จะกล่าวถึงตัวเราไม่ใช่เป็นหนุ่ม เวลานี้ตกพุ่มพ่อหม้าย ลูกเมียก็ล้มหายมาตายจาก มีความลำบากไปเสียนี่กระไร นับตั้งแต่เมียตายมาก็หลายปี ยังหาเมียดีๆ ก็ไม่ได้ วันนี้กลุ้มใจเป็นนักหนา นั่งอยู่บนเคหาไม่สบายใจ นึกถึงความยากหนอความจน ต้องหาเมียกะเขาสักคนหนอให้ได้ จำต้องไปปรึกษาไอ้เกลอเก่า เพราะเรารักลูกสาวเขาที่บ้านใต้ เราเป็นคนขี้อายผู้หญิง ต้องหาเพื่อนแอบอิงจึงจะได้ พอว่าเท่านั้นมิได้ช้า จัดแจงกายารีบไป แต่พอถึงบ้านเพื่อนเราไม่เชือนช้า จึงร้องเรียกหาไปทันใด สหายเอ๋ยมึงอย่าช้าอยู่ จงมาหากูไวๆ ชาย2 พอได้ยินสำเหนียกเพื่อนมาเรียกหา เราจึงเดินออกมาทันใด เหตุไฉนอย่างไรวันนี้ มาหากันถึงที่นี่มีธุระอะไร เราได้จรดนิ้วจดจ่อเราได้งอนิ้วชิด เราได้สาบถกันเป็นมิตรก็สหาย ตื้นลึกหนักเบาเคยส่งข่าวถึงกัน มึงหายไปตั้งนานหรือมึงไปอยู่ที่ไหน หรือมีเรื่องสำคัญจะให้กันช่วยเหลือ บอกมาเถิดเผื่อเราจะช่วยได้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเราจะช่วย จัดแจงไปด้วยความเต็มใจ เพลงฉ่อยวังแขม จึงเป็นประวัติศาสตร์ เป็นตำนานที่สมควรได้รับการบันทึกไว้อย่างที่สุด เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา ไม่ให้สูญสิ้นจากแผ่นดินกำแพงเพชร |