จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ธันวาคม 22, 2024, 07:55:20 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10
 21 
 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2024, 08:58:57 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
สำรวจเมืองโบราณที่หายไป ตอนที่ ๓ ตอน วัดโพธิ์ศิลาราม หรือวัดโพธิ์ทอง หรือวัดยายชี หรือวัดหนองปรือเก่า   ห่างจากวัดหนองปรือปัจจุบันไปประมาณ สามสิบเมตร เราพบฐานวิหารขนาดมหึมา น้องๆ วัดอาวาสน้อยเลยทีเดียว สิ่งที่เราพบคือซากปรักหักพังที่ ขุดทำลายกันซ้ำซาก ซ้อนซ้ำ กันมาหลายยุคสมับ ก่อนมีการสร้างหมู่บ้านด้วยซ้ำ วัดแห่งนี้น่าจะมีอายุหลายร้อยปีเราไม่ทราบว่า ในสมัยโบราณชื่อว่าวัดอะไร เราพบร่องรอยเสาศิลาแล
งขนาดใหญ มากมาย พบกระเมืองมุงหลังคาหล่นอยู่เกลื่อนกล่น พบซากแห่ง อริยศิลป์ ในวัดแห่งนี้ ชาวบ้านเล่า คนขุดพระได้พระพุทธรูปทองคำจำนวนหนึ่ง ถ้าคำดเล่าลือเป็นความจริงวัดแห่งนี้ อาจเป็นวัดหลวง ของเมืองโบราณที่หายไป ในช่วงปี.๑๗๐๐ ถึง ๒๐๐๐  เรามักพบพระพุทธรูปทองคำ ในวัดหลวงอยู่หลายแห่ง แม้แต่พระว่านหน้าทองก็พบเป็นจำนวนมาก วัดแห่งนี้อยู่กลางไร่มันสัมปะหลัง การไถที่ปลูกมันชาวบ้านยังเว้นที่วัดไว้ ไม่ทำลาย นับว่ายังมีจิตสำนึกที่ดี การสำรวจจุดที่ ๓ วัดโพธิ์ศิลารามนี้ คณะเราได้บันทึก ทั้งวิดิทัศน์ และภาพนิ่ง ท่านผู้สนใจ ลองศึกษาดู

 22 
 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2024, 10:36:31 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
การสำรวจเมืองโบราณที่หายไป ตอนที่ ๒ ตอนวัดหนองปรือ
 คณะสำรวจของเรา.เดินทางไปสำรวจจุดแรก คือวันหนองปรือ ซึ่งเดิมเป็นวัดเก่าแก่โบราณ ขนาดใหญ่ เราพบเสาศิลา พบพระพุทธรูปโบราณ พบฐานพระวิหารศิลาแลงที่แสดงว่า.วัดหนองปรือ เคยเป็นวัดขนาดใหญ่และเป็นวัดสำคัญของเมืองโบราณแห่งนี้ บริเวณวัดหนองปรีอ ชาวบ้านบางท่านเรียกว่าวัดหนองลือ หรือบางท่านเรียกว่า วัดพระลือนับว่าจุดประกาย การสำรวจเมืองโบราณที่หายไป เราเสนอภาพให้ท่านเห็นเพื่อภาพชัดเจนยิ่งขึ่น

 23 
 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2024, 10:34:03 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
สำรวจเมืองโบราณที่บ้านคลองสมบูรณ์ ตอนที่ ๑
หัวถนน คลองขลุง กำแพงเพชร
ตอนที่ ๑ เริ่มต้นวางแผนเดินเท้าสำรวจ
ในเขตกำแพงเพชร มีเมืองโบราณจำนวนมาก ทั้งที่หาพบและหาไม่พบ บางเมือง มีในจารึก และพงศาวดาร  ดังหลักฐานที่พบรายชื่อเมืองในจารึกวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) ซึ่งจารึกไว้ในคราวซ่อมแซมวัดครั้งใหญ่ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๔-๒๓๘๑ สมัยรัชกาลที่ ๓ โดยมีใบบอกเมืองขึ้นของเมืองกำแพงเพชร (เมืองโท) ว่ามี ๕ เมืองคือ
เมืองโกสามพิน ๑ (น่าจะหมายถึงเมืองโกสัมพี)
เมืองบงการบุรี ๑ (ไม่รู้ว่าเป็นเมืองใด)
เมืองโบราณราช ๑ (ไม่รู้ว่าเป็นเมืองใด)
เมืองนาถบุรี ๑ (ไม่รู้ว่าเป็นเมืองใด)
เมืองไตรตรึงษ์ ๑
เมืองที่หายไป จากจารึกและไม่สามารถค้นพบได้แก่
เมืองบงการบุรี ๑ (ไม่รู้ว่าเป็นเมืองใด)
เมืองโบราณราช ๑ (ไม่รู้ว่าเป็นเมืองใด)
เมืองนาถบุรี ๑ (ไม่รู้ว่าเป็นเมืองใด)
เมืองทั้งสามจากจารึกอยู่ใกล้กับ เมืองไตรตรึงษ์ เราจึงเริ่ม หาเมือง โบราณราช และนาถบุรี เพราะอยู่ใกล้เมือง  ไตรตรึงษ์มากที่สุด  แต่ลึกจากแม่น้ำปิงเข้ามา ประมาณ ๓ ถึง ๕ กิโลเมตร โดยมีถนนสายเอเชียตัดผ่าน ดังแผนที่

 

ในบริเวณนี้ จากการสำรวจ น่าจะมีเมือง โบราณ อยู่อย่างน้อย ก็สองเมือง  คือบงการบุรี และโบราณราช ก็เป็นไปได้
  และจากจารึกหลักที่ ๘ จารึกเขาสุมณกูฏ พศ. ๑๙๑๒ ได้กล่าวถึงเมืองต่างๆ หลายเมือง ความว่า มีทั้งสระหลวง สองแคว ปากยม พระบาง ชากังราว สุวรรณภาวะ นครพระชุม เมืองที่หายไป  คือสุวรรณภาวะ ซึ่งอยู่ใกล้กับ นครพระชุม  เมืองที่เราค้นหา อาจเป็นเมืองสุวรรณภาวะ ก็เป็นได้เช่นเดียวกัน
เราจึงลงมือสำรวจ โดยการร้องขอจาก คุณธิดาภรณ์ ดิษฐา  ผู้ค้นคว้า เมืองโบราณนี้มานาน โดยเริ่มสำรวจอย่างเป็นทางการ ในวันที่ ๖ และ๗ เมษายน ๒๕๖๗ โดยมีผู้ร่วมสำรวจ หลายท่าน ทั้งชาวบ้าน ผู้นำหมู่บ้าน และนักวิชาการคนสำคัญ ดังรายชื่อ
 
 
เริ่มการสำรวจ ด้วยความมุ่งมั่น ว่าจะค้นพบ เมือง โบราณที่ หายไป คือ สุวรรณภาวะ โบราณราช และบงการบุรี  หรือไม่ โปรดติดตามตอน ต่อไป

 24 
 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2024, 10:04:17 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
ชีวิตอาจารย์สันติ อภัยราช หลังเกษียณอายุราชการ
บันทึกเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗ อายุ ๗๖ ปี ๗เดือน
..................................................ง
อาจารย์สันติ อภัยราช เกษียณอายุราชการ เมื่อ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ตำแหน่ง สุดท้ายคือ อาจารย์ ๓ ระดับ ๙ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ประจำที่ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม     ตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร  ได้รับรางวัล เกียรติยศมากมายได้รับเครื่องราชย์อิสิริยาภรณ์ชั้นสูงสุด คือ ปฐมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
หลังจากเกษียณจากราชการงานประจำ มีกิจวัตร ประจำวัน คือ
เช้า พระอาทิตย์ขึ้น ออกกำลังกาย เดินเบาๆ ประมาณ ๔๐นาที ทำบุญใส่บาตร พระวัดพิกุล ที่ผ่านหน้าบ้านทุกวัน จนเป็นกิจวัตร ต่อเนื่องมากว่า ๒๐ปี เนื่องจากเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หลายหน่วยงาน ทั้งในจังหวัด และระดับกระทรวง จึงมีประชุม เฉลี่ยเดือนละ ๓ ครั้ง จนกระทั่งทุกวันนี้
        งานประจำ ที่ทำตลอดปี คือออกไปบรรยาย หน่วยงานราชการเอกชน ท้องถิ่น เฉลี่ยเดือนละ ๖ ครั้ง  บรรยายประจำที่สโมสรฝึกการพูดกำแพงเพชร เดือนละ ๔ ครั้ง บรรยายที่วัดหนองปลิง ปีละ ประมาณ ๔๐ ครั้ง จัดรายการวิทยุ รายการ รักไทย รักถิ่น รักแผ่นดินกำแพงเพชร ทุกเสาร์อาทิตย์ ที่ สวท.กำแพงเพชร ปีละ ๙๖ ครั้ง ก่อนหน้าจัดรายการวิทยุ ที่อสมท. สถานีวิทยุกองทัพ ภาค๓ สถานีวิทยุเครือข่ายประชาชนกำแพงเพชร สับดาห์ละ ๒ ครั้ง ปีละกว่าร้อยครั้ง
อ.สันติ อภัยราช อุทิศตนเองเพื่อประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาโดยตลอด รางวัลล่าสุดที่ได้รับคือ
 รางวัลครูเจ้าฟ้ามหาจักรี
 รางวัลสุวรรณภิงคาร สาขาวรรณกรรม จากมหาวิทยาลัยนเรศวร
รางวัลบุคคลอนุรักษ์วัฒนธรรมดีเด่น ในวันอนุรักษ์มรดกไทย จากสมเด็จพระเทพฯ
ขุนพลพิบูลสงคราม จากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พิษณุโลก
ศิษย์เก่าเกียรติยศ กำแพงเพชรพิทยาคม
ประธานกรรมการสถานศึกษา สกร.อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชรและจากหน่วยงานอื่นๆอีกมากมาย
สุขภาพร่างกาย มีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน ที่มีความจำเป็นที่ต้องเคร่งครัด กับวินัยในตัวเอง ให้รักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ ในระดับ ไม่เกิน ๑๓๐ แต่มันไม่ง่ายนัก
ในบั้นปลายชีวิต ไม่คาดหวังอะไร  นอกจากทำประโยชน์ให้กับสังคม จนไม่สามารถที่จะทำได้ไหว ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ทั้งร่างกายและจิตใจ ยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรมอย่างเคร่งครัด
แบ่งขายที่ นครชุม ไปไร่กว่าๆ เก็บเงินไว้ใช้ยามชรา สุดท้ายของชีวิต

บันทึกกันลืม




 25 
 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2024, 10:07:27 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
งานมุทิตาจิตของชมรมลูกหลวงพ่ออู่ทองโรงพยาบาลกำแพงเพชร
       ณ เคียงทะเล รีสอร์ท  ๒๔ - ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๗
 
       ถึงกาลเกษียณ เพียรวิชา มหายุทธ์      มุทิตาจิต บริสุทธิ์ แสนหรรษา
ชมรมลูกหลวงพ่อ อู่ทอง  ครองจรรยา          รับใช้สังคมมา นานแสนนาน
     โรงพยาบาล กำแพงเพชร เจตน์จิตรัก        งานแสนหนัก ดูแล ร่วมสืบสาน
วิชาชีพ รักษา ประชาชาญ                            ถึงงานหนัก แสนสำราญ ชาญวิชา
 ๑.    คุณจินตนา วงษ์ถาวร  นักทันตะ           สาธารณะ สุขะ เสกศึกษา
ข้าราชการ ชำนาญการ  เรื่องทันตา                เธอเก่งกล้า น่ารัก ประจักษ์จริง
          เป็นคนงาม แสนสวย รวยคนรัก           มีน้ำใจ จิตประจักษ์ ในทุกสิ่ง
ส่งเครื่องมือ ดูแล ไม่ประวิง                            ถ่ายทอดยิ่ง สู่รุ่นน้อง ไม่หมองใจ
๒. คุณอัมพร  ทิวารัตนอังกูร                        นักวิเคราะห์ ประจำศูนย์ คนแจ่มใส
เป็นคนเก่ง แม่นยำ ล้ำน้ำใจ                           องค์การแพทย์ วิไล งานของเธอ
    แสนแม่นยำ รวดเร็ว เป็นที่หนึ่ง                     งานลึกซึ้ง  ทำงานสม่ำเสมอ
มีคนรักมากมาย ได้พบเจอ                              งานของเธอ แสนสำคัญ และมั่นคง
   ๓.คุณอัศวิน วรรณาเวศน์               แสนวิเศษ เภสัชกรรม  ดังประสงค์
คนจัดยา แสนชำนาญ ชาญดำรง           จัดบรรจง  เชี่ยวชาญ การจัดยา
      คนพูดน้อย ทำงานใหญ่ จิตใจภักดิ์    คนจริงใจ  แสนประจักษ์  เสน่หา
ผู้คนรัก รสถ้อย ยามเจรจา                       มิพลาดเลย ชำนาญยา ตลอดกาล
  ๔.คุณสุณี วรรณาเวศน์                 คนพิเศษ ดูแลไข้ มหาศาล
คนไข้หนัก คนไข้เบา ตลอดกาล             สวยบันดาล ผู้คนรัก ประจักษ์ใจ
      เป็นมิ่งมิตร ไมตรี เป็นที่รัก              เป็นศรีศักดิ์ โรงพยาบาล แสนสดใส
เป็นนางเอก ของทุกคน ทั้งใกล้ไกล        มีหัวใจ เพื่อทุกคน  ล้นฤดี

     ยามเกษียณ  จงสำราญ เบิกบานจิต     มีชีวิต ที่งดงาม คือศักดิ์ศรี
สี่ชีวิต สู้ชีวิต มานานปี                         ถึงนาที ต้องเกษียณ เปลี่ยนทางเดิน
    จงเกษมหรรษา เวลาสุข                  ไม่ต้องทุกข์ ทำงาน คนสรรเสริญ
ถึงเวลา รัฐกำหนด กาลเพลิดเพลิน      ออกมาเดิน ทางใหม่  สุขใจเอย
     



 26 
 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2024, 08:59:04 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
ประวัติคุณแม่เกศริน แสงม่วง
   คุณแม่เกศริน แสงม่วง เป็นธิดาของ นายบรรจบ ครองแก้ว กับนางสมพร ครองแก้ว  สกุลเดิมศุภดิษฐ์  เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๐๑ ณ บ้านตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน ๘ คน เรียงลำดับดังต่อไปนี้
    ๑. นายปริญญา ครองแก้ว
    ๒.นายอุเทน ครองแก้ว
    ๓.นางจงพิศ ครองแก้ว
    ๔. นางเกศริน แสงม่วง (ผู้วายชนม์)
    ๕.นายจิรพันธ์ ครองแก้ว
    ๖.นางธนกร  ครองแก้ว
    ๗. นายอนุกร ครองแก้ว  (เสียชีวืตแล้ว)
    ๘.นางปานแก้ว ครองแก้ว
คุณแม่เกศริน  แสงม่วง สมรสกับคุณพ่อ วีระวัฒน์ แสงม่วง   ข้าราชการบำนาญ กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข มีบุตรธิดา สองคนคือ
   ๑.นายภูชิชย์  แสงม่วง อาชีพรับราชการ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกอง สวัสดิการสังคม องค์การบริหารส่วนตำบล หนองบัวเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดตาก
   สมรสกับดาบตำรวจหญิง สุพัตรา หมอยาดี ตำแหน่งผู้บังคับหมู่งานสืบสวน สถานีตำรวจภูธร
 อ.ปง จังหวัดพะเยา
 ๒. นางนิโลบล เขตกรณ์ อาชีพรับราชการ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง นักกายภาพบำบัดชำนาญการ โรงพยาบาลกำแพงเพชร  สมรสกับนายวุฒิชัย เขตกรณ์ อาชีพรับราชการ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง
ผู้อำนวยการสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จังหวัดตาก มีธิดา ๑ คน คือเด็กหญิงวรกร เขตกรณ์
ประวัติการศึกษา
 คุณแม่ เกศริน แสงม่วง   จบระดับประถมศึกษา จาก โรงเรียนวัดคูยาง  จบระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จาก โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม รุ่นที่ ๑๗ ปี พุทธศักราช ๒๕๑๙
อุปนิสัยส่วนตัว
  คุณแม่เกศริน  แสงม่วง เป็นผู้มีจิตใจที่งดงาม คิดดี ทำดี โอบอ้อมอารี อ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน กับทุกๆคน คุณแม่จึงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนที่ได้รู้จัก คุณแม่เป็นคนที่อดทน เข้มแข็งมาก ปฏิบัติ  หน้าที่ในฐานะ ลูก    ภรรยา    แม่   และ ยาย เป็นแบบอย่างที่ดี ของลูกหลาน  อบรมสั่งสอน ให้การศึกษาที่เหมาะสมให้กับลูกหลาน ทุกคน จนทุกคนประสบความสำเร็จ ในชีวิตและทำประโยชน์แก่สังคมจนทุกวันนี้
การเจ็บป่วย
   เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๖ พบว่าคุณแม่ เกศริน  แสงม่วง เป็นมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ ผ่าตัดและเข้ารักษาตัว ด้วยเคมีบำบัดจนโรคร้ายสงบลง  ๕ ปีต่อมา  มะเร็งลุกลามมาที่ปอดด้านซ้ายเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัด  อีก๒ ครั้ง และรักษาแบบประคับประคอง มาเรื่อย ๆ จนถึงเดือน มีนาคม
พุทธศักราช ๒๕๖๗  คุณแม่มีอาการเหนื่อยมากขึ้น รับประทานอาหารได้น้อยลง จีงเข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาลกำแพงเพชร  พบว่ามะเร็งลุกลามไปที่ปอดข้างขวา  หลอดอาหาร และสมอง


วาระสุดท้ายแห่งชีวิต
    ในทีสุด คุณแม่ขอกลับมาอยู่บ้าน มารักษาอาการที่บ้าน    ลูกๆจึง ทำตามความประสงค์ของคุณแม่ โดยมีคุณพ่อ วีระวัฒน์ แสงม่วง   ดูและปรนนิบัติ อย่างใกล้ชิด  ........ในเช้าวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗ คุณแม่จีงได้จากไปอย่างสงบ รวมสิริอายุได้ ๖๕ ปี
   ขอดวงวิญญาณของคุณแม่เกศริน แสงม่วง ไปสู่สัมปรายภพ สมดั่งที่สร้างสรรค์ และกระทำความดี มาทั้งชีวิตด้วยเทอญ

   
   

 27 
 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 12:06:15 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
แด่คุณแม่เกศริน แสงม่วง

รักใดเล่า จะเท่าแม่ ลูกแลเห็น
นับแต่เป็นดวงใจ ในท้องแม่
ทนุถนอมกล่อมเกลื้ยง เลี้ยงดูแล
คลอดดวงแด แสนชื่นใจ ในวิ
ญญา
แม่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ ด้วยใจรัก
ลูกประจักษ์รักแม่ให้ศึกษา
ไปอยู่ด้วยดูแลเรียนวิชา
จนลูกจบปริญญาไม่ท้อใจ
แม่รักลูกทุกคนสนใจรัก
แม่ทอถัก ความดีงามอย่างผ่องใส
ตอบแทนคุณ ยังไม่เต็มดวงฤทัย
แม่จากไปไม่หวนกลับ แม่ลับลา
ลูกสองคน แม่เลี้ยงรัก ประจักษ์จิต
ลูก มุก แม็ก คือชีวิต จิตหรรษา
ยิ่งหลานรัก มัดไหม ดั่งดวงตา
รักศรัทธากว่าผู้ใดในชีวี
ได้ดั่งใจ ใฝ่รู้ เชิดชูยิ่ง
เป็นทุกสิ่ง ยายมอบให้ เป็นศักดิ์ศรี
จิตใจแม่งดงามด้วยความดี
เอื้ออารี ยั่งยืน อ่อนโยนจริง
เป็นที่รักของญาติมิตรสนิทแนบ
อดทนแอบความอดทน ไว้ทุกสิ่ง
แม่เข้มแข็ง เป็นที่รัก เป็นคนจริง
ไม่ประวิงช่วยเหลือคน ล้นความดี
แม่ที่ดี เมียที่ดี ลูกที่ยิ่ง
 เป็นทุกสิ่งให้ครอบครัว สมศักดิ์ศรี
ไม่มีแม่ให้รักแล้วล้นชีวี
ทุกนาที ระลึกคุณเกื้อหนุนมา
ขอแม่สู่สถานวิมานแก้ว
งามเพริศแพร้ว มีสุขทุกทิศา
ประสบสุข ทุกนาที ทุกเวลา
ด้วยศรัทธา ด้วยรัก ภักดีเอย

 28 
 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2024, 10:39:52 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
ขุนพันธรักษ์ราชเดช(ตอน 3)
ปราบโจรกำแพงเพชร
          ขุนพันธ์ฯกลับมาทำรายงานไปยังกองบังคับการว่าจะขอเช่าบ้านพักอยู่ในโรงยาฝิ่น ผู้บังคับการไม่ยอมหาว่าผิดระเบียบทางราชการ ทำให้ต้องเดินทางไปยังกองบังคับการด้วยตนเองและเข้าเรียนให้ท่านผู้บังคับการเข้าใจและอนุญาต

         หลังจากได้บ้านพักเพียง ๒-๓ วัน ขุนพันธ์ฯก็มองเห็นแสงแห่งชัยชนะอยู่เบื้องหน้า โดยพาตำรวจออกตรวจตามตลาดจนสว่างทุกคืน พร้อมกับป่าวประกาศให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายให้เปิดร้านขายตามปกติได้ อาหารการกิน เหล้ายาบุหรี่ไม่ต้องกลัวใครจะมาเบ่งฟรี ทุกอย่างผู้กำกับขอรับผิดชอบ  ดังนั้นทุกคืนจะมีชาวบ้านและตำรวจมาสูบบุหรี่กินกาแฟกันตามร้านได้อย่างสะดวกสบายเหมือนก่อน

         หลังจากตำรวจได้เก็บปืนเข้าราวหมดแล้ว เสียงปืนก็เพลาลง แต่ยังมีพวกข้าราชการและชาวบ้านบางคนยังพกปืนอยู่อีก ขุนพันธ์ฯจึงแจ้งไปยังนายสุวรรณ  รื่นยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร(พ.ศ.๒๔๙๐-๒๔๙๓)ว่า เดี๋ยวนี้ตำรวจไม่พกปืนแล้ว จึงขอให้ข้าราชการของท่านอย่าได้พกปืนเลย ส่วนชาวบ้านที่พกปืนนั้นขุนพันธ์ฯจะจัดการเอง

         นายสุวรรณ  รื่นยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่  ดังนั้นเมื่อตำรวจและข้าราชการพลเรือนไม่พกปืนแล้ว ชาวบ้านราษฎรก็เลิกพกไปเอง ไม่ถึง ๑๐ วันเมืองกำแพงเพชรในเขตเทศบาลก็สงบเรียบร้อย

          ต่อจากนั้นขุนพันธ์ฯก็ให้เรือเมล์เดินรับส่งคนโดยสารได้เป็นปกติ และให้รถยนต์วิ่งรับคนโดยสารจากนครสวรรค์ถึงกำแพงเพชรด้วย พร้อมทั้งจัดตำรวจเข้ารักษารถและเรือเป็นประจำ

        การจราจรทางน้ำทางบกก็เข้าสู่เหตุการณ์ปกติ ราษฎรต่างก็ไปมากันได้โดยสะดวก ไม่ต้องหวั่นเกรงอิทธิพลและโจรผู้ร้ายกันต่อไป

         ขุนพันธ์ฯปราบปรามสิ่งชั่วร้ายและเริ่มปรับปรุงสิ่งต่างๆในเขต อ.เมือง จ.กำแพงเพชรให้เข้าสู่สภาพเดิม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๙๐ จนถึงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๙๐ ปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก คงเหลืออำเภอพรานกระต่ายเท่านั้น ที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นชื่อเพราะมีเสือสำคัญอยู่ ๒ คน คือ เสือไกร บ้านคุยแขวน กับเสือวัน บ้านนาถนน ต.คุยบ้านโอง อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เป็นพี่น้องกัน เสือทั้งสองนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมือง กำแหงขนาดยกพวกบุกไปปล้นถึงเขตนครสวรรค์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ตาก นอกจากนี้โจรกลุ่มนี้ยังเคยขโมยช้างของเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งคราวเสด็จขึ้นไปเมืองกำแพงเพชร ตำรวจติดตามไปเอาช้างคืนมาได้ครู่เดียว พอพวกโจรตามมาทันใช้ปืนไล่ยิงตำรวจเอาช้างกลับไปอีก

         ครั้งหนึ่งนายอนันต์  โพธิพันธ์ นายอำเภอพรานกระต่ายฉายภาพยนตร์เก็บเงินบำรุงอำเภอและสถานีตำรวจ พวกอันธพาลก็ใช้อาวุธปืนไล่ยิงเข้าให้เลิก แล้วจัดการเปิดบ่อนกำถั่วโปท้าทายตำรวจ ขนาดผู้บังคับกองให้ตำรวจ ๗ คนเข้าไปจับถูกพวกอันธพาลไล่กลับบอกว่า“มันไม่ใช่หน้าที่มึง ขนาดนายแกยังไม่กล้ามาจับหรือพวกมึงคิดจะมาลองเสี่ยงกับกู” ทำเอาตำรวจหน้าเสียยกพวกพากันกลับโรงพัก

          ต่อมาพวกอันธพาลยังแค้นใจบุกยิงตำรวจที่หน้า สภ.อ.พรานกระต่ายกลางวันแสกๆ แล้วกวักมือเรียกตำรวจที่เห็นเหตุการณ์เข้าไปจับ แต่ก็ไม่มีตำรวจคนใดกล้าเสี่ยงชีวิตด้วย

         ขุนพันธ์ฯคิดวางแผนจับกุมสองเสือให้จงได้ เพื่อให้เมืองกำแพงมีความสงบสุขตลอดไป รวมไปถึงเมืองอื่นๆที่มีเขตติดต่อกับกำแพงเพชรด้วย

         เช้าวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๙๐ ขุนพันธ์ฯพา ร.ต.ท.ชม  ส.ต.ต.เจริญ  พลฯณรงค์  พลฯกลั่น เดินทางไปพรานกระต่ายอย่างเร่งรีบ กว่าจะถึงอำเภอพรานกระต่ายเย็นพอดี จึงไปพักบ้าน ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี ผู้บังคับกองและได้เริ่มดำเนินการไปตามแผนที่วางไว้ คือ นัดบรรดาอันธพาลและผู้กว้างขวางทั้งหลาย ตลอดจนกำนันผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการอำเภอมากินเลี้ยงที่บ้านในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๐ เวลา ๑๙.๐๐ น. โดยขอให้ทุกคนนำข้าวหม้อ-แกงหม้อมาด้วย

         ส่วน ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี หัวหน้า สภ.อ.พรานกระต่าย เตรียมจัดทำอาหารเข้าร่วมด้วย พร้อมกับชี้แจงว่าที่นัดมากินอาหารร่วมกันนี้ เนื่องจากผู้กำกับมาใหม่อยากรู้จักพวกพรานกระต่ายจะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยกันต่อไป เพราะมาจากเมืองใต้ไม่รู้จักใครเลย

         วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๐ เวลาบ่าย ร.ต.อ.สะอ้าน ธาราศรี ผู้บังคับกองยืนรับแขกอยู่ที่หัวบันไดบ้าน โดยเตรียมสมุดให้แขกที่มาลงชื่อและนามสกุลเป็นหลักฐาน ทั้งนี้ขุนพันธ์ฯต้องการรู้จักใครเป็นใครจะได้ไม่จับผิดตัว พอบรรดาอันธพาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเริ่มทยอยกันมา ทุกคนมีของกินติดมือมาด้วย เพื่อมาทำความรู้จักกับผู้กำกับคนใหม่

         พอตกเย็นบรรดาข้าราชการก็มาร่วม ขุนพันธ์ฯสั่งให้ตำรวจเปิดเวทีรำวงที่หน้า สภ.อ.พรานกระต่าย อนุญาตให้ลูกเมียตำรวจทั้งหมดให้ไปรำวงกัน ส่วนการทำครัวและการจัดเลี้ยงเป็นหน้าที่ของตำรวจ จะไม่ใช้พวกแม่บ้านเลย ทำให้ตำรวจทุกคนทำงานทั้งที่มีปืนสะพายอยู่ที่บ่า พวกอันธพาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการอำเภอ ต่างมีปืนพกมากันทั่วหน้าตามตามเคยชิน

          โต๊ะจัดเลี้ยงถูกจัดเป็นแถวยาวตลอดแนว พวกอันธพาลถูกจัดให้นั่งอยู่ตรงกลาง มีกรมการอำเภอและตำรวจนั่งขนาบข้างละคน ส่วนด้านนอกของโต๊ะนั้น ขุนพันธ์ฯนั่งกลางตรงหน้านายไกรและนายวันคนสำคัญ

        ด้านซ้ายขวาของขุนพันธ์ฯมี ร.ต.ท.ชม ผู้บังคับกองและกำนัน ผู้ใหญ่บ้านนั่งยาวตลอดโต๊ะ ขุนพันธ์ฯเป็นผู้เปิดพิธีด้วยการกล่าวคำปราศรัย ต่อจากนั้นเริ่มลงมือรับประทานอาหาร เพื่อสร้างบรรยายให้เป็นกันเอง ขุนพันธ์ฯขอร้องให้ทุกคนช่วยกันเล่าเรื่องสนุกๆคนละหนึ่งเรื่อง

          ขณะที่เสือวันกำลังเล่านิทานเพลินอยู่นั้น ขุนพันธ์ฯพยักหน้าให้อาณัติสัญญาณ ฉับพลันนั้น ส.ต.ท.เจริญ กระโดดเข้ารวบตัวเสือวันจับใส่กุญแจมือทันที ขณะเดียว ส.ต.ท.ถวิล เข้าประชิดตัวเสือไกรเอากุญแจมือสวมไว้  หลายคนที่นั้นนั่งตกตะลึงคาดไม่ถึงขุนพันธ์ฯจะทำงานแบบสายฟ้าแลบ

          หลังจากนั้นขุนพันธ์ได้แจ้งข้อหาสองเสือท่ามกลางผู้มากินเลี้ยงโดยทั่วกันว่า ทั้งสองคนนี้เป็นหัวหน้าโจรปล้นทรัพย์สินของราษฎรในเมืองกำแพงเพชร อีกทั้งยังเคยไปปล้นในท้องที่พิจิตร นครสวรรค์ สุโขทัย ตาก ด้วย สองเสือถูกตำรวจพาไปบันทึกประจำวันและพาเข้าห้องขังตามระเบียบ รอจนกว่าหกโมงให้เตรียมเดินทางกลับกำแพงเพชร เพื่อควบคุมผู้ต้องหาไปสอบยังท้องที่ๆเกิดเหตุ แต่ระหว่างนี้ให้ไปรำวงกันก่อน

          ครั้นใกล้เวลาเที่ยงคืน(หกทุ่ม) ขณะที่ทุกคนกำลังรำวงสนุกสนานกันอยู่นั้น สองเสือที่อยู่ในห้องขังร้องตะโกนลั่นสถานีว่า นายอำเภอครับ ท่านปลัดครับ กำนันครับ แล้วออกชื่อใครต่อใครอีกหลายคน เขาจะพาผมไปฆ่าแล้วครับ

          ขุนพันธ์ฯได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจที่สองเสือกลัวตาย จนเข้าใจผิดคิดว่าจะถูกพาไปฆ่าตอนหกทุ่ม จึงสั่งให้รำวงกันต่อไม่ต้องสนใจ ฟ้าแจ้งเมื่อใดงานค่อยเลิก

          พอถึงรุ่งเช้ามีญาติพี่น้องของสองเสือขอติดตามไปส่งถึงกำแพงเพชร เพราะเกรงตำรวจจะกระทำวิสามัญฆาตกรรมกลางทาง โดยใช้เกวียนเป็นพาหนะตามหลังมาด้วย ๒ เล่ม ส่วนตำรวจได้นำผู้ต้องหาขึ้นเกวียนอีก ๑ เล่ม ผู้ต้องหาทั้งสองถูกสวมกุญแจมือติดกัน มีโซ่ยาวสองเส้นล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ป้องกันการหลบหนี ภายใต้การควบคุมของ ร.ต.ท.ชม  ส.ต.ท.แสวง และพลฯณรงค์อย่างหนาแน่น มีขุนพันธ์ฯคอยสอดส่องดูสถานการณ์สองข้างทาง

         วันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๔๙๐ วันนั้นตรงกับวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ เวลา ๓ ทุ่มเศษ

            ขณะที่ถึงวัดหัวยาง หมู่ ๔ ต.หนองคล้า อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร กำลังจะขึ้นสะพานหน้าดง บรรยากาศมืดมิดจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทันใดนั้นเองแนวป่าข้างสะพานด้านขวามือแอบซุ่มอยู่ เตรียมลงมือชิงตัวผู้ต้องหา จึงยิงปืนเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ขุนพันธ์ฯสั่งตำรวจยิงโต้ตอบกลับไป การต่อสู้ดำเนินอยู่นานราว ๓ นาที จนกระทั่งเสียงปืนทางฝ่ายตรงข้ามเงียบหายไป ปรากฏว่าผู้ต้องหาสองคนบนเกวียนถูกกระสุนตาย ส่วนเมียเสือวันถูกกระสุนที่ราวนมล้มไม่ได้สติ

          ราว ๓๐ นาทีต่อมาพวกในเมืองจุดตะเกียงเจ้าพายุมายังที่เกิดเหตุ รวมทั้งข้าราชการพ่อค้า ๕ คนได้ช่วยกันนำเมียเสือวันส่งโรงพยาบาล แพทย์มาทำการชันสูตรพลิกศพในวันรุ่งขึ้น

         ตั้งแต่เสือไกร เสือวันถูกยิงตาย บรรดาโจรผู้ร้ายพากันหลบหนีกระจัดกระจายไม่กล้ากำแหงอีก  แต่ส่วนมากหนีขึ้นไปจังหวัดตาก จน พ.ต.ต.อวบ(บุญหงี)  บุญชลิโต(นักเรียนนายร้อยตำรวจ(ห้วยจรเข้) ที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ.๒๔๗๗) กำกับตากถึงกับต่อว่ามาทางขุนพันธ์ฯแกล้งขับไล่โจรไปสร้างความเดือดร้อนแก่เมืองตาก

         พ.ต.ต.บุตร ใช้เวลาจัดการกับเมืองกำแพงเพชรทั้งหมด ๑ เดือน ๒๕ วัน บ้านเมืองสงบเรียบร้อยทุกอย่างตามที่ได้ให้คำสัญญากับอธิบดีกรมตำรวจ

         ขุนพันธ์ฯต้องการประกาศให้เมืองข้างเคียงรู้ว่า บัดนี้กำแพงเพชรเป็นเมืองที่น่าอยู่ จึงแจ้งไปยังเถ้าแก่เฮาะจิวที่ปากน้ำโพ(นครสวรรค์)ให้ขึ้นมาประมูลโรงต้มกลั่นสุราที่กำแพงเพชร พอประมูลได้ก็จัดงานฉลองเปิดโรงต้มกลั่นเป็นปฐมฤกษ์ขึ้น โดยให้เชิญผู้ว่าราชการ ข้าราชการผู้ใหญ่ พ่อค้าที่มีชื่อเสียงจากจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ตาก นครสวรรค์และกรุงเทพฯให้มาร่วมสังสรรค์ ในงานมีโต๊ะจีนจากภัตตาคารชื่อดังในกรุงเทพฯมาบริการ พร้อมกันนี้มีการแสดงของนักเรียนให้ชมด้วย ในที่สุดทุกอย่างได้จบลงด้วยดี แขกที่มากินเลี้ยงต่างกลับไปเล่าลือ จนข่าวนี้แพร่กระจายเข้าไปถึงกรมตำรวจ โดยมิต้องประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์

         ในระหว่างนั้นที่จังหวัดพัทลุงเกิดมีโจรผู้ร้ายชุกชุมอีกครั้งหนึ่ง ทำให้หลายคนนึกถึงผลงานที่ขุนพันธ์ฯเคยฝากไว้ให้ ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการขับเคี่ยวกันระหว่าง นายถัด  รัตนพันธ์ กับนายถัด  พรหมมานพ ชาวพัทลุงบอกว่าไม่ต้องออกหาเสียงให้เหนื่อยเปล่า ใครที่สามารถเอาตัวขุนพันธ์ฯมาอยู่ที่พัทลุงได้ ก็จะเลือกบุคคลนั้นให้เป็นผู้แทนของพัทลุง จึงมีการไปขอความกรุณาต่อกรมตำรวจให้ส่งขุนพันธ์ฯไปให้ชาวพัทลุง

          ต่อมาทางกรมตำรวจได้มีหนังสือคำสั่งไปถึงขุนพันธ์ฯที่กำแพงเพชร ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับที่พัทลุง แต่ขุนพันธ์ฯยังไม่ยอมเซ็นรับทราบ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไปอย่างเข้มแข็ง เช่น  การออกตรวจท้องที่มิได้หยุดหย่อน จนสามารถรู้จักท้องที่ของเมืองกำแพงเพชรทุกตำบล โดยเฉพาะวัดโบราณที่เต็มไปด้วยเจดีย์ที่สลักปรักพัง เช่น วัดพระบรมธาตุ วัดซุ้มกอ วัดพิกุล ที่อุดมไปด้วยพระเครื่องสุดยอดในวงการ มีความขลังเป็นเลิศ อย่างพระกำแพงทุ่งเศรษฐีที่เป็นหนึ่งในอันดับพระเบญจภาคีของไทย ใต้เมืองกำแพงเพชรลงไปก็มีเมืองไตรตรึงซึ่งเป็นเมืองร้างอยู่ในดงดิบริมแม่น้ำปิง มีเจดีย์ธาตุ เขาเรียกกันว่า“เจดีย์วังพระธาตุ เวลานั้นขุนพันธ์ฯแสวงหาแต่โจรผู้ร้าย ไม่ได้แสวงหาพระเครื่องและพระบูชา พระทุ่งเศรษฐี ซึ่งมีแหล่งอยู่ตรงหน้าเมือง พระกำแพงนั้นมีอยู่ทั่วไป แต่ขุนพันธ์ฯไม่มีพระกำแพงชนิดพระบูชา

 29 
 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2024, 09:16:34 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
ขุนพันธรักษ์ราชเดช
ปราบโจรกำแพงเพชร(ตอน ๑)
           ต่อมาทางจังหวัดกำแพงเพชรเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม ขนาดเรือเมล์กับรถยนต์รับส่งผู้โดยสารไปมาระหว่างจังหวัดนครสวรรค์-กำแพงเพชรต้องเลิกกิจการ เพราะถูกรบกวนจากอันธพาลแสดงอำนาจไม่ยอมเสียเงิน ตำรวจก็ไม่กล้าจับกุม ขนาดเกิดฆ่ากันตายในใจกลางตลาด ตำรวจก็ไม่ใส่ใจ ไม่มีการชันสูตรพลิกศพ ไม่มีการติดตามจับผู้ร้าย ถ้าเกิดเหตุใกล้ริมแม่น้ำ พวกชาวบ้านจะช่วยกันลากศพทิ้งลงแม่น้ำ โรงมหรสพต้องหยุดหมดทุกโรง โรงเรียนก็เปิดปิดไม่เป็นเวลา เหล้ายาบุหรี่ไม่มีขาย เนื่องจากมีการค้าฝิ่นกันเสรี ขนาดผู้กำกับการตำรวจมีมลทินมัวหมองเรื่องค้าฝิ่นเถื่อน จึงถูกสั่งพักราชการ ทำให้ ร.ต.อ.ประคอง  ก้องสมุทรนักเรียนนายร้อยตำรวจ(ห้วยจรเข้) ที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ.๒๔๗๖) รองผู้กำกับการขอย้ายไปอยู่ที่อื่น ขนาดมีคำสั่งย้ายมาถึงยังไปไหนไม่ได้  เพราะไม่มีผู้กำกับมาทำงาน ข้าราชการและชาวบ้านส่วนใหญ่ติดฝิ่นกันจนโงหัวไม่ขึ้น แต่โรงยาฝิ่นยังขาดทุนทุกปี เพราะมีตำรวจมาเบ่งกินข้าวฟรี สูบฝิ่นฟรี แถมนึกสนุกหยิบปืนขึ้นยิงดังก้องทั้งวันทั้งคืน  สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไม่ต้องทำงานหรืออยู่เวร ในเวลาปฏิบัติราชการก็ไม่มีการอบรม

           ขณะนั้น พล.ต.ต.พระพิจารณ์พลกิจ อธิบดีตำรวจได้พ้นตำแหน่งจากการเกษียณอายุ ทางรัฐบาลได้มอบให้หลวงสังวรณ์สุวรรณชีพ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือมารักษาการแทนในตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจชั่วคราว จึงต้องการแก้ไขเหตุการณ์บ้านเมืองให้คืนความสงบสุข โดยสรรหาตำรวจมือปราบเดินทางไปปฏิบัติงานที่กำแพงเพชร ในช่วงนั้นมือปราบที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมีอยู่สองคน คือ มือปราบแดนใต้ พ.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช กับมือปราบนครบาล ร.ต.อ.ยอดยิ่ง  สุวรรณาคร ผู้พิชิตเสือฝ้าย แต่ผู้ที่มีอคติต่อ ร.ต.อ.ยอดยิ่ง ก็มีไม่น้อย โดยให้ความเห็นว่า ถ้าส่งยอดยิ่งไปก็เท่ากับเติมเกลือลงในน้ำทะเล  แต่กับ พ.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ก็ยังมีมลทินเรื่องไปเข้ากับพวกเสือที่ชัยนาท จึงตัดสินใจคำสั่งให้พระราชญาติรักษา(ประกอบ  บุนนาค)ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ่อค้าคนสำคัญที่มีอาณาเขตติดต่อกับกำแพงเพชร มาประชุม  ผลการลงคะแนนปรากฏว่า พ.ต.ต.ขุนพันธ์รักษ์ราชเดชชนะ ร.ต.อ.ยอดยิ่ง  สุวรรณาคร เพียงคะแนนเดียว

          แต่หลวงสังวรณ์สุวรรณชีพ อธิบดีตำรวจมีความสงสัยว่า นายตำรวจที่มียศเป็นขุนยังมีเหลืออีกหรือ ทราบข่าวหมดไปนานแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่ไม่แก่จนหนวดยาวหรือ จึงมีหนังสือเรียกตัว พ.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชมาพบที่กรมตำรวจ

          วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๙๐ ขุนพันธ์ฯได้รับโทรเลขจากกรมตำรวจ จึงเดินทางเข้ากรุงเทพไปกรมตำรวจ(ขณะนั้นยังตั้งอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย ที่ปทุมวันยังไม่สร้าง)

          ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๙๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. พ.ต.ต.บุตร เข้าไปรายงานตัวต่ออธิบดีตามระเบียบแล้ว ทันทีที่พบหน้าหลวงสังวรณ์สุวรรณชีพเอานิ้วชี้มาตรงหน้าแล้วพูดว่า คนนี้หรือคือขุนพันธ์ฯ  ทำไมตัวนิดเดียวแถมมีหนวดด้วย คนเขาว่าเป็นเสือเมืองสุพรรณบุรี

         ครั้งแรกขุนพันธ์ฯตกใจไม่น้อยที่ผู้บังคับบัญชาเรียกตัวมาตำหนิ โดยไม่ทราบความมุ่งหมายจะมาไม้ไหนหรือหลวงนรินทร์สรศักดิ์จะไปฟ้องเพิ่มเติมอีก ขุนพันธ์ฯได้แต่ยืนนิ่งไม่โต้ตอบ

        สักครู่หนึ่งอธิบดีตำรวจก็พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า“เมื่อก่อนโน้นคนอื่นเขาว่าเป็นเสือ แต่เดี๋ยวนี้เขาเชื่อกันแล้วว่าขุนพันธ์ฯเป็นคนดี ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยอยากพบ ฉันจะให้ขึ้นไปอยู่เมืองกำแพงเพชรจะได้หรือไม่”

         ขุนพันธ์ฯยังยืนนิ่งคอยอ่านใจเจ้านาย จนมีเสียงถามต่อมาอีกว่า“รู้หรือเปล่าว่าเมืองกำแพง

          เพชรนั้นเป็นอย่างไร” ขุนพันธ์ฯได้กราบเรียนไปว่า“ทราบแล้ว เมืองกำแพงเพชรนั้นอยู่ต่อแดนกับเมืองพิจิตร ซึ่งกระผมเคยอยู่มาเกือบ ๓ ปี พวกโจรพรานกระต่ายเคยล้ำแดนเข้ามาปล้น กระผมเคยขี่ม้าไล่ตามจับ แต่พวกโจรได้หนีเข้าเขตนอกพื้นที่รับผิดชอบ ทำให้พวกโจรยังลอยนวลมาถึงบัดนี้”

        อธิบดีตำรวจพยักหน้ารับรู้เรื่องราวและถามต่อไปอีกว่า“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น”

        ขุนพันธ์ฯได้กราบเรียนไปว่า เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ดี ไม่ว่าบ้านเมืองใด หากเจ้าหน้าที่ไม่ดีแล้วก็จะต้องเป็นเช่นนั้น หากเจ้าหน้าที่ดีมีความสามารถแล้ว พวกโจรผู้ร้ายก็จะไม่กำเริบ

        อธิบดีตำรวจนิ่งอยู่สักครู่ก่อนจะถามด้วยเสียงอันดังว่า“ที่ว่าเขาไม่ดีไม่ดีนั้น ใครไม่ดี”

       ขุนพันธ์ฯกราบเรียนว่า ทุกคนตั้งแต่ชั้นเล็กๆจนถึงชั้นผู้ใหญ่

        หลวงสังวรณ์สุวรรณชีพนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง“เออจริง ฉันจะให้ขึ้นไปอยู่เมืองกำแพงเพชรจะว่าอย่างไร”

          พ.ต.ต.บุตร ยืนนิ่งอีก แต่ในหัวใจยังครุ่นคิดถึงเรื่องสุพรรณบุรีและชัยนาทอยู่ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปว่า“เป็นพระคุณอย่างเหลือล้นที่กรมตำรวจยังเรียกใช้ แต่จะขอความกรุณาให้กลับขึ้นไปสุพรรณบุรีและชัยนาท เพื่อล้างมลทินที่ถูกกล่าวหาเป็นเสือ”

         อธิบดีกรมตำรวจพูดขึ้นว่า“เขาจะให้ไปกำแพงเพชรยังจะขืนไปสุพรรณบุรีและชัยนาทอีก ส่วนเรื่องปราบผู้ร้ายทุกคนเชื่อว่าขุนพันธ์ฯทำได้ แต่จะเก่งแต่อย่างเดียวไม่ได้ เรื่องจัดการกับเมืองกำแพงเพชรให้สงบเคยทำมาก่อนหรือ

         พอขุนพันธ์ฯได้ฟังดังนั้นก็ตัดสินใจกราบเรียนไปว่า เมื่อทางกรมตำรวจมีความประสงค์เช่นนั้นก็จะไป แต่จะขอพร ๔ ประการ หากท่านกรุณาให้ก็ขอรับรองว่าต้องทำงานสำเร็จแน่ๆ

        หลวงสังวรณ์สุวรรณชีพรู้สึกแปลกใจไม่น้อย“ลองว่ามาให้ฟังซิ ถ้าให้ได้ก็จะให้

ขุนพันธ์ฯเห็นนายยิ้มแย้มดี จึงได้ลำดับพรตามความต้องการคือ
๑. รองผู้กำกับการที่จังหวัดกำแพงเพชรนั้น ขอได้กรุณาให้ขุนพันธ์ฯเป็นผู้เลือกเอง อย่าได้แต่งตั้งใครที่ขุนพันธ์ฯไม่ได้ขอมาก่อน หากเลือกไม่ได้ขุนพันธ์ฯก็จะขอไปคนเดียว

๒. ใครๆก็ดีเมื่อขุนพันธ์ฯรายงานมาแล้วว่าไม่ดี ขอให้ทางกรมได้กรุณาเชื่อไว้ก่อนโดยไม่ต้องตั้งกรรมการ เพราะการตั้งกรรมการนั้น มันแล้วแต่พยานของใครดีไม่ดีและเป็นเรื่องล่าช้าเสียเวลา  อาจจะทำให้คนมีความผิดเป็นไม่ผิด คนไม่ผิดเป็นผิดได้

๓. เมื่อทำสำเร็จแล้วขอกลับไปสุพรรณบุรี-ชัยนาท

๔. ขอเงินเดือนขึ้น ๑ ขั้น หากทำได้ตามความต้องการของกรม

         เมื่ออธิบดีกรมตำรวจได้ฟังก็ตอบตกลงและยังย้อนถามขุนพันธ์ฯว่า ขอเงินเดือนขั้นเดียวเท่านั้นหรือ ตอนนี้ขุนพันธ์ฯได้ยืนยันกับท่านไปว่าขอขั้นเดียว ท่านยังกล่าวต่อไปว่างานนี้จะให้ขุนพันธ์ฯไปทำสัก ๔ เดือน ถ้ายังไม่เรียบร้อยจะเพิ่มให้อีก

         ฝ่ายขุนพันธ์ฯยังคงเชื่อความขลังของพร ในใจคิดว่าเพียงเดือนเดียวอาจสำเร็จเรียบร้อยหมดจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่มีการคัดค้าน

        ขุนพันธ์ได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๙๐ จึงเริ่มเก็บข้าวของเตรียมตัว

            ฝ่ายคุณเฉลา ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของขุนพันธ์ทราบว่า สามีต้องไปรับตำแหน่งผู้กำกับตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชรก็ตกใจ เพราะทราบข่าวมาว่าเมียนายอำเภอพรานกระต่ายเข้ามาในเมือง แต่ในระหว่างทางถูกโจรฉุดลากเข้าป่า แล้วหายสาบสูญไปตั้งแต่บัดนั้น

         ครั้งแรกขุนพันธ์ฯมีความตั้งใจจะเดินทางด้วยเกวียน แต่กว่าจะถึงเมืองกำแพงเพชรต้องเวลาร่วมเดือน เพื่อที่จะให้งานสำเร็จตามกำหนดที่รับปากกับอธิบดีตำรวจไว้ จึงจำเป็นต้องไปติดต่อขอเช่าเรือแดงที่เคยสัญจรเมื่อสามปีก่อน แต่ได้รับการปฏิเสธกลับมา

         ขุนพันธ์ฯผิดหวังกลับมาปรับทุกข์กับภรรยาของตน คุณเฉลาแนะนำให้ไปหาคุณนายของผู้จัดการเดินเรือ ซึ่งเป็นชาวนครศรีธรรมราชเหมือนกัน
บ่ายวันนั้นขุนพันธ์ฯกลับไปที่บริษัทอีกครั้ง เพื่อขอพบคุณนายผู้จัดการเดินเรือ

         ฝ่ายคุณนายผู้จัดการเดินเรือสาววัยไม่ถึง ๓๐ ปี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของเจ้าจอมสว่างในรัชกาลที่ ๕(ธิดาพระยานครศรีธรรมราช น้อยกลาง ณ นคร) ออกมาต้อนรับ พร้อมกับทักทายคนบ้านเดียวกันและถามจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้

          ขุนพันธ์ฯยกมือไหว้อย่างนอบน้อมและแนะนำตนเอง“ผมขุนพันธ์ฯเป็นชาวนครศรีฯครับ ทราบข่าวท่านเป็นลูกหลานเจ้าจอมสว่างกับเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต(แย้ม ณ นคร) เลยมากราบคารวะ ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นที่จบพร้อมกันเคยไปอาศัยอยู่ที่บ้านเจ้าพระยาบดินทร์ฯ คือ คุณบัญญัติ ณ นคร (นักเรียนนายร้อยตำรวจ(ห้วยจรเข้)ที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ.๒๔๗๒) ที่เป็นผู้กำกับอยู่เกาะคา ลำปาง และ ร.ต.ต.พริ้ง ณ นคร(นักเรียนนายร้อยตำรวจ(ห้วยจรเข้)ที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ.๒๔๗๒) ที่เป็นผู้กำกับอยู่ชัยนาท วันนี้ผมมาขอเช่าเรือไปเมืองกำแพงเพชร แต่ท่านผู้จัดการไม่ยอม

            พอคุณนายทราบก็หันไปบอกกับผู้จัดการเดินเรือผู้เป็นสามีว่า“ชาวใต้ด้วยกันต้องช่วยกันซิ”

           ในที่สุดขุนพันธ์ได้เช่าเรือเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท  แต่มีข้อสัญญาว่า“เมื่อเรือจะจอดและค้างคืนที่ใดขุนพันธ์ฯจะต้องชักธงชาติบนหลังคาเรือ แล้วประกาศให้คนรู้ทั่วกันว่า เป็นเรือราชการไปเมืองกำแพงเพชร ไม่ใช่เรือรับจ้างคนโดยสาร” ขุนพันธ์ฯตอบตกลง

            คืนวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๙๐ เวลาตีสอง เรือได้ออกจากอยุธยามุ่งตรงไปยังกำแพงเพชร

           ก่อนออกเดินทางคุณนายผู้จัดการเดินเรือได้มอบหวายของเจ้าจอมสว่าง ซึ่งผ่านการปลุกเสกในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ มอบให้เจ้านายไปปราบผู้ร้ายที่กระด้างกระเดื่อง โดยให้ขุนพันธ์ฯนำไปปราบผู้ร้าย

         วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๔๙๐ พักที่โรงแรมตึกขาว นครสวรรค์ เผอิญได้พบกับนายเข่งที่รู้จักกันแต่ครั้งอยู่พิจิตรมาขอไปด้วย โดยถามว่าไปกันกี่คน ขุนพันธ์ตอบว่าไปกัน ๕ คน คือ ขุนพันธ์ฯและภรรยา    ด.ญ.สุจิตรา อายุ ๖ ขวบ(บุตรสาว) ด.ญ.อักษร อายุขวบกว่าๆ(บุตรสาว) และ ด.ญ.กัลยา(หลานสาว)

         พอขุนพันธ์ฯมีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วย คุณเฉลาภรรยาคิดจะไม่ไปด้วย โดยจะขอนำเด็กๆไปรออยู่ที่บ้านญาติในกรุงเทพฯ แต่ขุนพันธ์ฯได้ชี้แจงว่า ถ้าไปกับนายเข่งเพียงสองคนแล้ว ใครเล่าจะหุงหาอาหารให้กิน ในที่สุดภรรยาขุนพันธ์ก็ยอมไปด้วย

          วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๙๐ ขุนพันธ์ฯออกจากปากน้ำโพ ผ่าน อ.เก้าเลี้ยว อ.ขาณุวรลักษณ์ ตลอดระยะทาง ข่าวผู้กำกับคนใหม่ล่วงรู้ไปถึงพวกโจรผู้ร้าย จึงถูกลองดีด้วยการปล่อยท่อนซุงไหลมาชนเรือขุนพันธ์ ทำให้การเดินทางต้องล่าช้าออกไปอีก

          วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๔๙๐ เวลาสามทุ่ม เรือแล่นมาถึง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร คนขับไม่ยอมขับต่อไปอีก เพราะมีท่อนซุงลอยมามากขึ้นทุกที ขุนพันธ์ฯได้ขึ้นไปบน สภ.อ.คลองขลุง เพื่อขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แล้วขอพบ ร.ต.อ.เยื้อน  จุลศิริ หัวหน้า สภ.อ.คลองขลุง(ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ๒๔๙๐-๒๔๙๕)แจ้งให้ทราบว่าผู้กำกับมาตรวจงาน ปรากฏว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นด้วยกัน จึงได้สนทนาเรื่องราวต่างๆ รวมถึงเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในกำแพงเพชรทั้งหมด

         รุ่งขึ้นเรือแล่นออกจาก สภ.อ.คลองขลุง มุ่งตรงไป จ.กำแพงเพชร หากจะขี่ม้าไปใช้เวลาเพียง ๓๐ นาทีก็ถึง แต่ติดขัดที่มีเด็กและสัมภาระมาด้วยจำเป็นต้องใช้เรือ ระยะทางอำเภอเดียวต้องเสียเวลาเกือบหนึ่งวันเต็ม เพราะต้องเผชิญกับอุปสรรคนานาประการ ที่ผู้พยายามขัดขวางไม่ให้ผู้กำกับคนใหม่ไปถึงกำแพงเพชรได้สำเร็จ แต่ทว่าขุนพันธ์ฯก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหมดได้สำเร็จ

          วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๐ เวลา ๒๑.๓๐ น. เรือได้มาถึงเมืองกำแพงเพชร พร้อมกับเข้าพักที่โรงแรมของนางถี่ตรงท่าเรือนั้นเอง
ในขณะขุนพันธ์ฯกำลังขนสัมภาระเข้าโรงแรมนิตยประภา ทันนั้นเองมีเสียงปืนดังขึ้นที่หน้าโรงแรมเหมือนเป็นการต้อนรับผู้กำกับคนใหม่ ขุนพันธ์ฯเข้าใจว่าถูกท้าทายจึงวิ่งขึ้นบันไดไปเอาปืนลงมา

 30 
 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2024, 09:09:59 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
ขุนพันธรักษ์ราชเดช(ตอน 2)
ปราบโจรกำแพงเพชร
         นางถี่เจ้าของโรงแรมเห็นเข้าก็เข้ากอดขุนพันธ์ฯไว้ แล้วพูดว่าไม่ใช่เรื่องของคุณ อย่าออกไป ขุนพันธ์ฯจะสะบัดอย่างไรไม่หลุด แกบอกขุนพันธ์ฯว่า มันเป็นธรรมเนียมของเมืองนี้ ใครจะเมาหรือไม่เมา เมื่ออยากยิงปืนก็ยิงกันได้ตามสบาย ดังนั้นขุนพันธ์ฯได้ไปอาบน้ำ ในคืนนั้นขุนพันธ์ฯนอนคิดหาวิธีปราบปรามผู้ร้ายเมืองกำแพงเพชรให้อยู่ในความสงบโดยรวดเร็ว
(พุทธศักราช ๒๕๔๘ นายวินิต นางชูจิตต์ ตัดสินใจรื้อถอนโรงแรมนิตะยประภา แล้วนำไม้สักทั้งหมดไปสร้างใหม่ ติดกับโรงแรมจิตต์ประภา(เป็นโรงแรมที่คุณวินัย นิตยะประภา(ทนายความ) บุตรของนายวินิต นางชูจิตต์สร้างขึ้น เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๘) บริเวณหัวสะพานฝั่งนครชุม แยกเป็น ๒ หลัง ให้กับบุตรชายและหญิง หลังที่ ๑ ชื่อ“ฬฬิฬ เรือนไทยไม้สักทอง” เป็นของนายวิจาร(ทนายความ) นางณัฐสิริ นิตยะประภา หลังที่ ๒ ชื่อ“บ้านพระคุณแม่”(เรือนอาจารย์) เป็นของอาจารย์นิภาพร  สุวรรณพงศ์(นิตยะประภา) ดังนั้นโรงแรม“นิตยะประภา” ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของเมืองกำแพงเพชร สร้างเมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๙ และรื้อถอนเมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๘ นับอายุได้ ๖๐ ปี ข้อมูลจาก อ.สันติ  อภัยราช)

          รุ่งขึ้นวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๙๐ เวลา ๐๗.๐๐ น. ขุนพันธ์ฯแต่งเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว สั่งให้เด็กไปเช่าจักรยานมาคันหนึ่งราคา ๒๗ สตางค์ เพื่อให้เด็กขี่พาไปที่ สภ.อ.กำแพงเพชร

         ส่วนขุนพันธ์ฯขี่จักรยานของตนเอาที่เอามาด้วย วันนั้นไม่มีข้าราชการคนใดทราบข่าวการมาของผู้กำกับคนใหม่ พอเด็กพาไปถึงป่าแห่งหนึ่งก็หยุดนิ่ง พร้อมกับชี้ให้รู้ว่าที่แห่งนี้แหละ “สถานีตำรวจกำแพงเพชร”

          สภาพ สภ.อ.กำแพงเพชร ที่เห็นเต็มไปด้วยต้นไม้เถาวัลย์ขึ้นปกคลุมจนมิดหลังคา บ้านผู้กำกับพังครืนไปครึ่งหนึ่ง จนนกกระจาบเข้าอาศัยทำรังอยู่เป็นฝูงๆ กระดานป้ายชื่อสถานีตำรวจถูกปลวกกัดจนตกลงมากองอยู่กับพื้นดิน ถนนเข้าสถานีตำรวจที่เคยกว้าง ๕ เมตรมีหญ้าอ้อ หญ้าแขม หญ้าคา ขึ้นปกคลุมจนเป็นซุ้มหนา มีช่องเล็กๆที่คนใช้เป็นทางเข้าออกได้

          ขุนพันธ์ฯทิ้งรถจักรยานไว้ข้างนอก แล้วแหวกหญ้าเข้าไป จนน้ำค้างเปียกเสื้อกางเกงหมด พอถึงบันไดสถานีตำรวจ มองเห็นที่ล้างเท้าน้ำแห้งสนิท ข้างบนมีตำรวจนั่งกอดปืนกระดิกเท้าอยู่ สภาพการแต่งกายบ่งบอกเป็นตำรวจถูกต้อง แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่เคยซักแดงเป็นสนิท หมวกแก๊ปสวมไปทาง  กระเป๋าเสื้อขาดรุ่งหริ่ง ขุนพันธ์ฯเดินขึ้นไปตรงหน้ายาม ยามยังนั่งมองหน้าเฉย ขุนพันธ์ฯจึงถามว่าเธอเป็นยามใช่ไหม ยามตอบว่าใช่ ขุนพันธ์ฯได้ถามต่อไปว่า เธอรายงานตัวเป็นไหม และเมื่อยามแต่งตัวสวมหมวกถือปืนอย่างนี้ เมื่อผู้บังคับบัญชาขึ้นมาหรือมาพูดด้วยจะต้องทำอย่างไรก่อน
ยามตอบว่าไม่ทราบ ขุนพันธ์ฯจึงถามต่อไปว่า เธอเป็นตำรวจมากี่ปีแล้ว เคยฝึกหัดบ้างหรือเปล่า ใครเป็นนายร้อยเวร สิบเวร ต่อไปใครเป็นยาม ทำไมโรงพักรกเต็มไปหมดอย่างนี้ เก้าอี้ก็ล้มหงายบ้าง  ตะแคงบ้าง ราวปืนก็มีแต่ราว โรงพักเหมือนโรงร้างมานานปี

         ยามตอบว่าเป็นตำรวจมา ๒ ปีแล้ว จะปลดเดือนเมษายนปีนี้ ไม่เคยฝึกหัดเลย นายร้อยเวร สิบเวรไม่มี ใครเป็นยามคนต่อไปไม่ทราบ ถึงเวลาเขามาเปลี่ยนกันเอง โต๊ะเก้าอี้ไม่มีใครจัด โรงพักก็ไม่มีคนทำความสะอาด ปืน ดาบปลายปืน กระเป๋ากระสุนปืนของใครก็เอาไปเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ที่โรงพักเอาไว้ไม่ได้จะถูกขโมยลักหมด

ขุนพันธ์ถามว่า ถ้าสมมุติจะฝึกแถวจะหัดที่ไหน
         ยามตอบว่าต้องไปหัดตามวัดหรือตามโรงเรียน เพราะที่นั่นมีลานมีสนามเตียนดี ขุนพันธ์ฯได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสงสาร ประกอบกับเห็นสภาพของโรงพักแล้วก็ยิ่งเศร้าสลดใจ ขุนพันธ์ฯถามเขาต่อไปว่า“เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร แต่งตัวอย่างนี้มียศชั้นไหน”

        ยามตอบว่าเข้าใจว่าเป็นผู้กำกับมาใหม่ มียศเป็นนายพันตำรวจตรี
ขุนพันธ์ฯจึงได้อบรมยามต่อไปว่า ต่อไปจำไว้เมื่อยามแต่งตัวเรียบร้อยดีเช่นนี้ มีหมวกถือปืนอย่างนี้ หากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่นายร้อยตรีขึ้นไป เมื่อมาพูดกับยามหรือไม่พูดก็ตาม หากเห็นในระยะอันสมควร ยามจะต้องทำวันทยาวุธและโดยเฉพาะสำหรับผู้บังคับบัญชาเช่นผู้กำกับนี้ ยามจะต้องรายงานด้วย แล้วขุนพันธ์ฯก็สั่งไว้กับยามว่า“ให้บอกกันทุกคนว่า ผู้กำกับใหม่เขามาถึงตั้งแต่วานนี้ จะไปตรวจที่อำเภอพรานกระต่าย ๓ วัน แล้วจะกลับมาหัดแถวในบริเวณโรงพัก หัดเฉพาะท่าคลานกับท่ามอบให้จนหญ้าเตียน”

        วันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๐ เวลา ๐๗.๑๕ น. พ.ต.ต.บุตร ได้วางแผนที่จะได้จัดการกับอำเภอพรานกระต่าย โดยขอร้องให้นางถี่เจ้าของโรงแรมช่วยเช่าเกวียนมาเล่มหนึ่งในราคา ๖๐ บาท เพื่อที่จะเดินทางไปคนเดียว ๓ วัน ในเกวียนมีแค่น้ำดื่ม ข้าวปลาอาหารขุนพันธ์ฯไม่กิน ขณะนั้นยาจากวัดดอนศาลายังออกฤทธิ์อยู่

       ในระหว่างทางได้ไปตรวจท้องที่อำเภอพรานกระต่าย ซึ่งเป็นอำเภอเดียวที่มีการทำนามาก  ราษฎรต่างประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม จึงนับว่ามีความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์กว่าอำเภออื่น ด้วยเหตุนี้ที่อำเภอพรานกระต่ายมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ผิดกับอำเภอเมืองกำแพงเพชรมีแต่พวกอันธพาลทั่วเมือง  ส่วนที่อำเภอคลองขลุงมีโจรผู้ร้าย แต่ก็ไม่มากนัก

        พอไปถึงตัวอำเภอได้เข้าหา นายอนันต์  โพธิพันธ์ นายอำเภอพรานกระต่าย(ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐-๒๔๙๑) ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี หัวหน้า สภ.อ.พรานกระต่าย(ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกอง สภ.อ.พรานกระต่าย พ.ศ.๒๔๘๙-๒๔๙๑)ว่า ผมมารับราชการที่นี่คนเดียว ไม่มีรองผู้กำกับมาด้วย มาขอทำความรู้จักและพึ่งบารมีพวกข้าราชการเมืองกำแพงเพชร ปัจจุบันภาพพจน์เมืองกำแพงเพชรในสายคนภายนอกเสียหายมาก จึงมาขอความช่วยเหลือในการปฏิบัติราชการ พวกเราเป็นข้าราชการคงอยู่กันไม่นาน แต่ขณะที่ยังอยู่อยากให้สร้างความดีให้ชาวกำแพงเพชรระลึกถึงยามจากไป อีกอย่างหนึ่งต้องการมาขอพบพวกมิจฉาชีพทุกประเภท ตั้งแต่โจรผู้ร้าย อันธพาล นักเลง นักพนัน พ่อค้าของเถื่อน ฯลฯ เพื่อทำความรู้จักฝากเนื้อฝากตัว โดยขอร้องให้ ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี นัดบรรดาอันธพาลและผู้กว้างขวางทั้งหลาย ตลอดจนกำนันผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการอำเภอมากินเลี้ยงที่บ้านในคราวหน้า

         วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๙๐ ขุนพันธ์ฯกลับจากตรวจราชการที่พรานกระต่ายมาถึง สภ.อ.กำแพงเพชร ก็รู้สึกแปลกใจที่บริเวณโรงพักเตียนสะอาดขึ้น แม้จะทำการฝึกหัดท่าคลานและหมอบก็ตาม ก็ไม่มีตอและหนามตำ

          วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๐ ร.ต.อ.ประคอง  ก้องสมุทร เข้ามารายว่า ตำรวจในจังหวัดกำแพงเพชรมี นายร้อย ๕ คน จ่า ๒ คน นายสิบ ๒๔ คน นายพันมีคนเดียวคือขุนพันธ์ฯ รองไม่มีเพราะหาไม่ได้ หลังจากได้รับรายงานเสร็จเรียบร้อย ขุนพันธ์ฯได้นัดประชุมตำรวจพร้อมกันทั้งหมด พร้อมกับทำความเข้าใจกับตำรวจทุกคนว่า ขุนพันธ์ฯมารับหน้าที่ตามคำสั่งกรมตำรวจ และได้พรมา ๔ ประการ  สำหรับระเบียบวินัยตลอดจนข้อบังคับมีอยู่พร้อมแล้วในเมืองกำแพงเพชรนี้ มิใช่ว่าขุนพันธ์ฯจะมาตั้งขึ้นใหม่ ต่อไปจะต้องจัดเวรยามตามระเบียบและให้มาทำงานกันทุกคน ปืนดาบปลายปืน กระเป๋ากระสุนให้เอามาเก็บไว้ที่โรงพัก และเอามาเข้าราวไว้ให้หมด ถ้าของหลวงถูกขโมยก็ต้องช่วยกันชดใช้ตั้งแต่ผู้กำกับลงไป อีกทั้งต้องมีการฝึกอบรมเป็นประจำและจะต้องมีสมุดเซ็นชื่อลงเวลามาทำงานและกลับ เสร็จแล้วขุนพันธ์ฯให้เวลาทำความสะอาดโรงพักและปืนให้เรียบร้อยภายใน ๓ วัน นับแต่วันประชุมอบรมนี้เป็นต้นไป

           ครั้นถึงกำหนด ปืนและของหลวงทุกอย่างก็เข้าที่ ตำรวจพามาทำงานกันตามระเบียบ มีการอบรมสั่งสอนกันเป็นประจำ ด้านโรงพักเป็นอันเรียบร้อยไป คราวนี้ปัญหาอยู่ที่บ้านพักผู้กำกับที่ชำรุดจนไม่สามารถใช้เป็นที่พักได้ ขุนพันธ์ฯได้พิจารณาย่านตลาด ตรงโรงยาฝิ่นที่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ ทำให้เจ้าของกิจการต้องขาดทุนทุกปี แถมยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกบรรดานักเลงอันธพาลที่บังคับให้ประมูลทุกปีด้วย คนอื่นจะประมูลไม่ได้

          สภาพโรงยาฝิ่นเป็นห้องแถวใหญ่โตแข็งแรง ๒ ห้อง ๒ ชั้น ใหญ่โตแข็งแรง หากผู้กำกับจะขอแบ่งเช่าอยู่สักครึ่งหนึ่งก็คงไม่เดือดร้อน ตอนแรกขุนพันธ์ฯไปเจรจากับขุนสรสิทธิ์เจ้าของห้องบอกว่าสุดแต่ผู้เช่า ขุนพันธ์ฯจึงไปพบกับเถ้าแก่ผู้เช่า เถ้าแก่โรงยาฝิ่นตกใจคิดว่า แค่ถูกนายร้อย นายสิบ และพลตำรวจไถและเบ่งสูบฟรีเป็นประจำ ทำให้ต้องเดือดร้อนแทบจะแย่อยู่แล้ว คราวนี้ขนาดชั้นนายพันแถมยังเป็นผู้กำกับด้วยคงจะหนักกว่าเก่าหลายเท่านัก เถ้าแก่จึงไม่ยอมตกลงด้วย ขุนพันธ์ฯต้องใช้วิธีพูดกันแบบสองต่อสองหลายครั้ง โดยอธิบายว่าที่ขุนพันธ์ฯต้องการมาเช่าอยู่นี้ เพื่อจะมาปราบพวกอันธพาลและคอยคุ้มกันไม่ให้ใครมาสูบฝิ่นฟรีให้ เถ้าแก่โรงยาฝิ่นค่อยเข้าใจและยอมตกลงด้วย

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!