จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
พฤศจิกายน 23, 2024, 05:17:37 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขุนพันธรักษ์ราชเดช(ตอน 2) ปราบโจรกำแพงเพชร นางถี่เจ้าของโรงแรมเห็นเข้าก  (อ่าน 7035 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1440


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2024, 09:09:59 am »

ขุนพันธรักษ์ราชเดช(ตอน 2)
ปราบโจรกำแพงเพชร
         นางถี่เจ้าของโรงแรมเห็นเข้าก็เข้ากอดขุนพันธ์ฯไว้ แล้วพูดว่าไม่ใช่เรื่องของคุณ อย่าออกไป ขุนพันธ์ฯจะสะบัดอย่างไรไม่หลุด แกบอกขุนพันธ์ฯว่า มันเป็นธรรมเนียมของเมืองนี้ ใครจะเมาหรือไม่เมา เมื่ออยากยิงปืนก็ยิงกันได้ตามสบาย ดังนั้นขุนพันธ์ฯได้ไปอาบน้ำ ในคืนนั้นขุนพันธ์ฯนอนคิดหาวิธีปราบปรามผู้ร้ายเมืองกำแพงเพชรให้อยู่ในความสงบโดยรวดเร็ว
(พุทธศักราช ๒๕๔๘ นายวินิต นางชูจิตต์ ตัดสินใจรื้อถอนโรงแรมนิตะยประภา แล้วนำไม้สักทั้งหมดไปสร้างใหม่ ติดกับโรงแรมจิตต์ประภา(เป็นโรงแรมที่คุณวินัย นิตยะประภา(ทนายความ) บุตรของนายวินิต นางชูจิตต์สร้างขึ้น เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๘) บริเวณหัวสะพานฝั่งนครชุม แยกเป็น ๒ หลัง ให้กับบุตรชายและหญิง หลังที่ ๑ ชื่อ“ฬฬิฬ เรือนไทยไม้สักทอง” เป็นของนายวิจาร(ทนายความ) นางณัฐสิริ นิตยะประภา หลังที่ ๒ ชื่อ“บ้านพระคุณแม่”(เรือนอาจารย์) เป็นของอาจารย์นิภาพร  สุวรรณพงศ์(นิตยะประภา) ดังนั้นโรงแรม“นิตยะประภา” ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของเมืองกำแพงเพชร สร้างเมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๙ และรื้อถอนเมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๘ นับอายุได้ ๖๐ ปี ข้อมูลจาก อ.สันติ  อภัยราช)

          รุ่งขึ้นวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๙๐ เวลา ๐๗.๐๐ น. ขุนพันธ์ฯแต่งเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว สั่งให้เด็กไปเช่าจักรยานมาคันหนึ่งราคา ๒๗ สตางค์ เพื่อให้เด็กขี่พาไปที่ สภ.อ.กำแพงเพชร

         ส่วนขุนพันธ์ฯขี่จักรยานของตนเอาที่เอามาด้วย วันนั้นไม่มีข้าราชการคนใดทราบข่าวการมาของผู้กำกับคนใหม่ พอเด็กพาไปถึงป่าแห่งหนึ่งก็หยุดนิ่ง พร้อมกับชี้ให้รู้ว่าที่แห่งนี้แหละ “สถานีตำรวจกำแพงเพชร”

          สภาพ สภ.อ.กำแพงเพชร ที่เห็นเต็มไปด้วยต้นไม้เถาวัลย์ขึ้นปกคลุมจนมิดหลังคา บ้านผู้กำกับพังครืนไปครึ่งหนึ่ง จนนกกระจาบเข้าอาศัยทำรังอยู่เป็นฝูงๆ กระดานป้ายชื่อสถานีตำรวจถูกปลวกกัดจนตกลงมากองอยู่กับพื้นดิน ถนนเข้าสถานีตำรวจที่เคยกว้าง ๕ เมตรมีหญ้าอ้อ หญ้าแขม หญ้าคา ขึ้นปกคลุมจนเป็นซุ้มหนา มีช่องเล็กๆที่คนใช้เป็นทางเข้าออกได้

          ขุนพันธ์ฯทิ้งรถจักรยานไว้ข้างนอก แล้วแหวกหญ้าเข้าไป จนน้ำค้างเปียกเสื้อกางเกงหมด พอถึงบันไดสถานีตำรวจ มองเห็นที่ล้างเท้าน้ำแห้งสนิท ข้างบนมีตำรวจนั่งกอดปืนกระดิกเท้าอยู่ สภาพการแต่งกายบ่งบอกเป็นตำรวจถูกต้อง แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่เคยซักแดงเป็นสนิท หมวกแก๊ปสวมไปทาง  กระเป๋าเสื้อขาดรุ่งหริ่ง ขุนพันธ์ฯเดินขึ้นไปตรงหน้ายาม ยามยังนั่งมองหน้าเฉย ขุนพันธ์ฯจึงถามว่าเธอเป็นยามใช่ไหม ยามตอบว่าใช่ ขุนพันธ์ฯได้ถามต่อไปว่า เธอรายงานตัวเป็นไหม และเมื่อยามแต่งตัวสวมหมวกถือปืนอย่างนี้ เมื่อผู้บังคับบัญชาขึ้นมาหรือมาพูดด้วยจะต้องทำอย่างไรก่อน
ยามตอบว่าไม่ทราบ ขุนพันธ์ฯจึงถามต่อไปว่า เธอเป็นตำรวจมากี่ปีแล้ว เคยฝึกหัดบ้างหรือเปล่า ใครเป็นนายร้อยเวร สิบเวร ต่อไปใครเป็นยาม ทำไมโรงพักรกเต็มไปหมดอย่างนี้ เก้าอี้ก็ล้มหงายบ้าง  ตะแคงบ้าง ราวปืนก็มีแต่ราว โรงพักเหมือนโรงร้างมานานปี

         ยามตอบว่าเป็นตำรวจมา ๒ ปีแล้ว จะปลดเดือนเมษายนปีนี้ ไม่เคยฝึกหัดเลย นายร้อยเวร สิบเวรไม่มี ใครเป็นยามคนต่อไปไม่ทราบ ถึงเวลาเขามาเปลี่ยนกันเอง โต๊ะเก้าอี้ไม่มีใครจัด โรงพักก็ไม่มีคนทำความสะอาด ปืน ดาบปลายปืน กระเป๋ากระสุนปืนของใครก็เอาไปเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ที่โรงพักเอาไว้ไม่ได้จะถูกขโมยลักหมด

ขุนพันธ์ถามว่า ถ้าสมมุติจะฝึกแถวจะหัดที่ไหน
         ยามตอบว่าต้องไปหัดตามวัดหรือตามโรงเรียน เพราะที่นั่นมีลานมีสนามเตียนดี ขุนพันธ์ฯได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสงสาร ประกอบกับเห็นสภาพของโรงพักแล้วก็ยิ่งเศร้าสลดใจ ขุนพันธ์ฯถามเขาต่อไปว่า“เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร แต่งตัวอย่างนี้มียศชั้นไหน”

        ยามตอบว่าเข้าใจว่าเป็นผู้กำกับมาใหม่ มียศเป็นนายพันตำรวจตรี
ขุนพันธ์ฯจึงได้อบรมยามต่อไปว่า ต่อไปจำไว้เมื่อยามแต่งตัวเรียบร้อยดีเช่นนี้ มีหมวกถือปืนอย่างนี้ หากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่นายร้อยตรีขึ้นไป เมื่อมาพูดกับยามหรือไม่พูดก็ตาม หากเห็นในระยะอันสมควร ยามจะต้องทำวันทยาวุธและโดยเฉพาะสำหรับผู้บังคับบัญชาเช่นผู้กำกับนี้ ยามจะต้องรายงานด้วย แล้วขุนพันธ์ฯก็สั่งไว้กับยามว่า“ให้บอกกันทุกคนว่า ผู้กำกับใหม่เขามาถึงตั้งแต่วานนี้ จะไปตรวจที่อำเภอพรานกระต่าย ๓ วัน แล้วจะกลับมาหัดแถวในบริเวณโรงพัก หัดเฉพาะท่าคลานกับท่ามอบให้จนหญ้าเตียน”

        วันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๐ เวลา ๐๗.๑๕ น. พ.ต.ต.บุตร ได้วางแผนที่จะได้จัดการกับอำเภอพรานกระต่าย โดยขอร้องให้นางถี่เจ้าของโรงแรมช่วยเช่าเกวียนมาเล่มหนึ่งในราคา ๖๐ บาท เพื่อที่จะเดินทางไปคนเดียว ๓ วัน ในเกวียนมีแค่น้ำดื่ม ข้าวปลาอาหารขุนพันธ์ฯไม่กิน ขณะนั้นยาจากวัดดอนศาลายังออกฤทธิ์อยู่

       ในระหว่างทางได้ไปตรวจท้องที่อำเภอพรานกระต่าย ซึ่งเป็นอำเภอเดียวที่มีการทำนามาก  ราษฎรต่างประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม จึงนับว่ามีความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์กว่าอำเภออื่น ด้วยเหตุนี้ที่อำเภอพรานกระต่ายมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ผิดกับอำเภอเมืองกำแพงเพชรมีแต่พวกอันธพาลทั่วเมือง  ส่วนที่อำเภอคลองขลุงมีโจรผู้ร้าย แต่ก็ไม่มากนัก

        พอไปถึงตัวอำเภอได้เข้าหา นายอนันต์  โพธิพันธ์ นายอำเภอพรานกระต่าย(ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐-๒๔๙๑) ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี หัวหน้า สภ.อ.พรานกระต่าย(ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกอง สภ.อ.พรานกระต่าย พ.ศ.๒๔๘๙-๒๔๙๑)ว่า ผมมารับราชการที่นี่คนเดียว ไม่มีรองผู้กำกับมาด้วย มาขอทำความรู้จักและพึ่งบารมีพวกข้าราชการเมืองกำแพงเพชร ปัจจุบันภาพพจน์เมืองกำแพงเพชรในสายคนภายนอกเสียหายมาก จึงมาขอความช่วยเหลือในการปฏิบัติราชการ พวกเราเป็นข้าราชการคงอยู่กันไม่นาน แต่ขณะที่ยังอยู่อยากให้สร้างความดีให้ชาวกำแพงเพชรระลึกถึงยามจากไป อีกอย่างหนึ่งต้องการมาขอพบพวกมิจฉาชีพทุกประเภท ตั้งแต่โจรผู้ร้าย อันธพาล นักเลง นักพนัน พ่อค้าของเถื่อน ฯลฯ เพื่อทำความรู้จักฝากเนื้อฝากตัว โดยขอร้องให้ ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี นัดบรรดาอันธพาลและผู้กว้างขวางทั้งหลาย ตลอดจนกำนันผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการอำเภอมากินเลี้ยงที่บ้านในคราวหน้า

         วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๙๐ ขุนพันธ์ฯกลับจากตรวจราชการที่พรานกระต่ายมาถึง สภ.อ.กำแพงเพชร ก็รู้สึกแปลกใจที่บริเวณโรงพักเตียนสะอาดขึ้น แม้จะทำการฝึกหัดท่าคลานและหมอบก็ตาม ก็ไม่มีตอและหนามตำ

          วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๐ ร.ต.อ.ประคอง  ก้องสมุทร เข้ามารายว่า ตำรวจในจังหวัดกำแพงเพชรมี นายร้อย ๕ คน จ่า ๒ คน นายสิบ ๒๔ คน นายพันมีคนเดียวคือขุนพันธ์ฯ รองไม่มีเพราะหาไม่ได้ หลังจากได้รับรายงานเสร็จเรียบร้อย ขุนพันธ์ฯได้นัดประชุมตำรวจพร้อมกันทั้งหมด พร้อมกับทำความเข้าใจกับตำรวจทุกคนว่า ขุนพันธ์ฯมารับหน้าที่ตามคำสั่งกรมตำรวจ และได้พรมา ๔ ประการ  สำหรับระเบียบวินัยตลอดจนข้อบังคับมีอยู่พร้อมแล้วในเมืองกำแพงเพชรนี้ มิใช่ว่าขุนพันธ์ฯจะมาตั้งขึ้นใหม่ ต่อไปจะต้องจัดเวรยามตามระเบียบและให้มาทำงานกันทุกคน ปืนดาบปลายปืน กระเป๋ากระสุนให้เอามาเก็บไว้ที่โรงพัก และเอามาเข้าราวไว้ให้หมด ถ้าของหลวงถูกขโมยก็ต้องช่วยกันชดใช้ตั้งแต่ผู้กำกับลงไป อีกทั้งต้องมีการฝึกอบรมเป็นประจำและจะต้องมีสมุดเซ็นชื่อลงเวลามาทำงานและกลับ เสร็จแล้วขุนพันธ์ฯให้เวลาทำความสะอาดโรงพักและปืนให้เรียบร้อยภายใน ๓ วัน นับแต่วันประชุมอบรมนี้เป็นต้นไป

           ครั้นถึงกำหนด ปืนและของหลวงทุกอย่างก็เข้าที่ ตำรวจพามาทำงานกันตามระเบียบ มีการอบรมสั่งสอนกันเป็นประจำ ด้านโรงพักเป็นอันเรียบร้อยไป คราวนี้ปัญหาอยู่ที่บ้านพักผู้กำกับที่ชำรุดจนไม่สามารถใช้เป็นที่พักได้ ขุนพันธ์ฯได้พิจารณาย่านตลาด ตรงโรงยาฝิ่นที่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ ทำให้เจ้าของกิจการต้องขาดทุนทุกปี แถมยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกบรรดานักเลงอันธพาลที่บังคับให้ประมูลทุกปีด้วย คนอื่นจะประมูลไม่ได้

          สภาพโรงยาฝิ่นเป็นห้องแถวใหญ่โตแข็งแรง ๒ ห้อง ๒ ชั้น ใหญ่โตแข็งแรง หากผู้กำกับจะขอแบ่งเช่าอยู่สักครึ่งหนึ่งก็คงไม่เดือดร้อน ตอนแรกขุนพันธ์ฯไปเจรจากับขุนสรสิทธิ์เจ้าของห้องบอกว่าสุดแต่ผู้เช่า ขุนพันธ์ฯจึงไปพบกับเถ้าแก่ผู้เช่า เถ้าแก่โรงยาฝิ่นตกใจคิดว่า แค่ถูกนายร้อย นายสิบ และพลตำรวจไถและเบ่งสูบฟรีเป็นประจำ ทำให้ต้องเดือดร้อนแทบจะแย่อยู่แล้ว คราวนี้ขนาดชั้นนายพันแถมยังเป็นผู้กำกับด้วยคงจะหนักกว่าเก่าหลายเท่านัก เถ้าแก่จึงไม่ยอมตกลงด้วย ขุนพันธ์ฯต้องใช้วิธีพูดกันแบบสองต่อสองหลายครั้ง โดยอธิบายว่าที่ขุนพันธ์ฯต้องการมาเช่าอยู่นี้ เพื่อจะมาปราบพวกอันธพาลและคอยคุ้มกันไม่ให้ใครมาสูบฝิ่นฟรีให้ เถ้าแก่โรงยาฝิ่นค่อยเข้าใจและยอมตกลงด้วย
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!