จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
มีนาคม 13, 2025, 02:50:07 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ ๑๐เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพร  (อ่าน 20 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1473


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: มีนาคม 11, 2025, 05:06:04 am »

เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๐ : (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสร้าง (๑)
แม้หลวงพ่อจะกำหนดไว้ว่าช่วง พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕ แต่ในความเป็นจริงการ ซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดพระบรมธาตุนั้นดูเหมือนจะลงตัวเข้าที่เข้าทางตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงทำให้หลวงพ่อเริ่มที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดเพิ่มเติมขึ้นใหม่เพื่อใช้งานในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เริ่มต้นจากการก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ซึ่งเป็นอาคารชั้น เดียว กว้าง ๘ เมตร ยาว ๕๐ เมตร แบ่งเป็นห้องต่าง ๆ ทั้งห้องเรียนและห้องทำกิจกรรมของ นักเรียน (ปัจจุบันเป็นห้องเรียนของวิทยาลัยสงฆ์กำแพงเพชร) การตั้งชื่อโรงเรียนพระปริยัติธรรม ของวัดพระบรมธาตุว่า โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” นั้น สืบเนื่องมาจากตั้งเป็น เกียรติแด่พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) เป็นผู้อุปถัมภ์การ ก่อสร้าง ทั้งเป็นต้นแบบของพระภิกษุผู้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉาน ได้รับพระกรุณาโปรด เกล้า ฯ เป็นราชบัณฑิต ทั้งยังเป็นพระภิกษุชาวกำแพงเพชรที่เคยอาศัยอยู่ที่วัดพระบรมธาตุมา ก่อน ซึ่งในขณะนั้นท่านมีสมณศักดิ์และราชทินนามที่ “พระธรรมกิตติวงศ์”

จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อและพระเถระภายในวัดให้ข้อมูลตรงกันว่า ก่อนหน้าที่จะมี การสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” นั้น บริเวณทางทิศตะวันออก ของพระอุโบสถนั้นถูกปล่อยให้เป็นป่ารกร้าง มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่หลายต้น ด้านล่างเป็นป่าหญ้าคา แทบไม่มีใครอยากจะเดินไปทางนั้น บางครั้งเมื่อจะมีงานบวชทางเจ้าภาพก็ต้องไปถางป่าให้เตียน ให้เวียนรอบพระอุโบสถได้ เพราะเป็นพื้นที่ว่างไม่ได้ใช้ประโยชน์ หลวงพ่อจึงดำริให้มีการสร้าง อาคารเรียนขึ้นที่บริเวณดังกล่าว เพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ของวัดให้คุ้มค่ามากที่สุด

จากนั้นหลวงพ่อยังได้ดำเนินการปรับถมที่ดินภายในบริเวณวัดทางทิศใต้ (บริเวณลานจอด รถปัจจุบัน) ที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่น โดยการนำดินมาถมแล้วเกรดปรับระดับให้เท่ากับพื้นปกติ ขณะเดียวกันก็ดำเนินการปรับถมที่บริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียนวัดพระบรมธาตุและปลูก สนามหญ้า ทั้งนี้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น มหาเถรสมาคมมีมติจัดพิธีทรงตั้งเปรียญธรรม ๓ ประโยค และมอบวุฒิบัตรประโยค ๑ - ๒ ของคณะสงฆ์หนเหนือ ณ วัดพระบรมธาตุ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ จึงจำเป็นต้องปรับสถานที่เพื่อรองรับพระเถรานุเถระ สามเณรและญาติโยมจาก ทุกจังหวัดในภาคเหนือที่เดินทางมาร่วมงาน ถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของวัดพระบรมธาตุ ในสมัยนั้น

พ.ศ. ๒๕๕๒ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีก ๑ หลัง เป็นอาคาร ทรงไทยพื้นถิ่น แบบนครชุม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียวจำนวน ๕ ห้อง หลังคามุงด้วย กระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี มีพื้นที่ใช้สอย ๑๔๒ ตารางเมตร และมีเรือนมุขหน้า สำหรับเป็นห้องพักครูสอนด้วย ตลอดจนดำเนินการสร้างอาคารควบคุม - จ่ายน้ำประปาใช้ภายในวัดพระบรมธาตุ ตัวอาคารเป็นโครงเหล็กมุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิค ถังน้ำ สแตนเลส

พ.ศ. ๒๕๕๓ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติมอีกเพื่อรองรับ จำนวนพระภิกษุสามเณรที่มาเรียนพระปริยัติธรรมจำนวนมากขึ้นเป็นอาคารทรงไทยพื้นถิ่น แบบ นครชุม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว จำนวน ๑ ห้องเรียน ๑ ห้องบริหาร และ ๑ ห้อง ประชุม หลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี มีพื้นที่ใช้สอย ๑๗๐ ตารางเมตร และเริ่มดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีก ๑ หลัง เป็นอาคารทรงไทย ประยุกต์ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว จำนวน ๑ ห้องเรียนรวม หลังคามุงด้วยกระเบื้อง ลอนคู่ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี

พ.ศ. ๒๕๕๔ หลวงพ่อได้เริ่มปรับภูมิทัศน์ทางฝั่งคลองสวนหมากโดยปลูกสร้างสวนหย่อม บริเวณริมคลองสวนหมากทางทิศเหนือของวัด เพื่อเป็นการปรับภูมิทัศน์และใช้เป็นที่พักผ่อน หย่อนใจของพระภิกษุสามเณร และประชาชนโดยทั่วไป ทั้งยังสร้างลานปฏิบัติธรรมรอบต้นพระศรี มหาโพธิ์ภายในบริเวณวัด โดยการเทพื้นด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี ขณะเดียวกันก็ได้เทพื้นคอนกรีตลานด้านหน้าพระบรมธาตุ เพื่อใช้เป็นที่จอดรถ โดยการปรับ พื้นดินเดิมให้เสมออัดเกลี่ยทราย วางโครงเหล็กเทคอนกรีตผสมเสร็จ ในปีเดียวกันนี้หลวงพ่อยังได้ ดำริให้มีการสร้างกุฏิสงฆ์น๊อคดาวน์จำนวน ๒๐ หลัง เป็นอาคารไม้สักทรงไทยแบบนครชุม เพื่อใช้ เป็นที่พักของผู้ปฏิบัติธรรมและพระนวกะในช่วงเข้าพรรษา โดยเปิดรับบริจาคเจ้าภาพร่วมสร้าง และหลวงพ่อยังได้ดำเนินการบูรณะเตาเผาศพของวัด โดยเปลี่ยนจากเตาเผาถ่านเป็นเตาเผาระบบ ไร้ควันพิษตามแบบของกระทรวงสาธารณสุข

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ยังเป็นปีที่หลวงพ่อต้องตัดสินใจในการที่จะหาวิธีการรักษาโรงเรียนวัด พระบรมธาตุเอาไว้ด้วย โรงเรียนวัดพระบรมธาตุเดิมตั้งอยู่ภายในวัดพระบรมธาตุทางทิศใต้ ซึ่งเป็น ส่วนกุฏิสงฆ์และลานจอดรถในปัจจุบัน หลวงพ่อเป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขึ้นพื้นฐาน โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เห็นว่าจำนวนนักเรียนลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ส่งบุตรหลานไปเรียนโรงเรียนอื่น เพราะเห็นว่ามีคุณภาพมากกว่า โรงเรียนวัด จนทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีจำนวนนักเรียนเพียง ๓๙ คน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากำแพงเพชร เขต ๑ จึงมีแนวคิดที่จะยุบโรงเรียนวัดพระบรมธาตุ

คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญวงศ์ ซึ่งเคยเป็นครูที่โรงเรียนวัดพระบรมธาตุได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
“เมื่อหลวงพ่อทราบว่าเขาคิดจะยุบโรงเรียน หลวงพ่อไม่ยอมเด็ดขาด วัดกับโรงเรียนวัด เป็นของคู่กัน หลวงพ่อจึงได้วางแผนพัฒนาโรงเรียนใหม่ทั้งหมด เริ่มต้นใหม่ เริ่มจากย้ายโรงเรียนไปอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ฟากถนน ซึ่งหลวงพ่อจัดซื้อที่ดินจากชาวบ้านได้ ๒ ไร่ เงินที่ซื้อ ที่ดินนั้นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ เป็นผู้อุปถัมภ์ จากนั้นให้เรียกชื่อโรงเรียนใหม่ ว่า โรงเรียนสาธิตวัดพระบรมธาตุ ไม่ยอมเอาชื่อวัดออกจากชื่อโรงเรียนเด็ดขาด แล้วให้ทาง โรงเรียนยื่นของบประมาณจัดสร้างอาคารเรียนหลัก ๆ จากทางกระทรวง ส่วนอาคารใช้สอยอื่น ๆ รวมทั้งรั้วโรงเรียน หลวงพ่อได้ใช้งบประมาณของทางวัดและใช้คนงานของวัดเป็นผู้ดำเนินการ

จากนั้นหลวงพ่อก็ให้เงินสนับสนุนให้จ้างครูที่จบใหม่เฉพาะด้าน ยังสอบบรรจุไม่ได้มาสอน เป็นครูอัตราจ้าง เช่นครูภาษาอังกฤษ ครูภาษาจีน ส่งพระเข้าไปเป็นพระวิทยากรอบรมธรรมศึกษา ทุกสัปดาห์ และทุกเช้าต้องมีพระหรือเณรไปบรรยายธรรมะสั้น ๆ ที่หน้าเสาธงให้นักเรียนฟังทุกวัน ทำกิจกรรมมัคนายกน้อย โดยให้นักเรียนมาร่วมทำบุญตักบาตรที่วัดในทุกวันพระ แล้วให้นักเรียน เป็นผู้นำในการไหว้พระ อาราธนาศีล ถ้ามีงานเผาศพในวัด แต่เดิมนักเรียนก็จะโดดเรียนมาแย่ง เหรียญโปรยทาน หลวงพ่อก็ให้นำนักเรียนมาเป็นจิตอาสา เสิร์ฟน้ำ แล้วให้เจ้าภาพมอบเป็น ทุนการศึกษาให้นักเรียนแทน ทางโรงเรียนก็หมุนเวียนจัดนักเรียนมาให้ทั่วถึง จากนั้นก็เริ่มมี ชาวบ้านนำลูกหลานมาเข้าเรียนเพิ่มมากขึ้น จากนักเรียน ๓๙ คนในปี ๕๔ ตอนนี้โรงเรียนสาธิตวัด พระบรมธาตุมีนักเรียนราว ๒๔๐ คน มันจะมีใครสักกี่คนที่จะกล้ามาลงทุนสร้างอะไรขนาดนี้ หลวงพ่อพูดตลอดเลยว่า ถ้าทางโรงเรียนขาดเหลืออะไรก็ขอให้บอก ไม่รู้จะมีปัญญาหาให้ได้ไหม แต่ก็จะพยายามสุดความสามารถที่มี”

ปีสุดท้ายตามแผน “๕ ปีสร้าง” ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างกุฏิสงฆ์ซึ่ง หลวงพ่อตั้งชื่อว่า “กุฏิเฉาก๊วยชากังราวประชาสรรค์” เนื่องด้วยมีบริษัทเฉาก๊วยชากังราว นำโดย ดร. เสริมวุฒิ สุวรรณโรจน์ เป็นเจ้าภาพหลัก กุฏิหลังนี้เป็นอาคารทรงไทยแบบนครชุม สร้างด้วย คอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น จำนวน ๒๘ ห้อง หลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยหินแกรนิต อย่างดี และดำเนินการบูรณะพระวิหารของวัดทางทิศใต้ขององค์พระบรมธาตุนครชุม โดยต่อเติมจากเดิม ๕ ห้องเป็น ๑๐ ห้อง และต่อมุขออก ๑ มุข โดยแบ่งประโยชน์ใช้สอยเป็น ๓ ส่วน คือ ใช้เป็นห้องสมุดของวัด ๑ ห้องโถงใหญ่ (๕ ห้องเล็กเดิม) เป็นห้องคอมพิวเตอร์ ๑ ห้องโถงใหญ่ และหน้ามุขที่ต่อใหม่เป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุและเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชร ๓ รูป คือ พระครูธรรมาธิมุตมุนี (สี) พระวิเชียรโมลี (ปลั่ง) และพระสิทธิวชิร โสภณ (ช่วง)

ที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นการสร้างถาวรวัตถุภายในวัดพระบรมธาตุเพื่อประโยชน์ใช้สอย แต่นอกจากการสร้างถาวรวัตถุแล้ว ในช่วง “๕ ปีสร้าง” ของหลวงพ่อ ยังได้มีการ “สร้างคน” ซึ่ง หลวงพ่อบอกว่าเป็นการสร้างที่ยากและมีความสำคัญมากกว่าการสร้างสิ่งอื่นใด เพราะการสร้าง คนคือการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้กับสังคมประเทศชาติ การสร้างคนของ หลวงพ่อสามารถแยกได้เป็น ๔ ส่วน

ได้แก่ ๑. สร้างคนผ่านการเรียนการสอนสามเณรในโรงเรียนพระปริยัติธรรม หลังจากหลวงพ่อ ตั้งและสร้างอาคารเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ขึ้น ก็มีการเปิดรับพระภิกษุ สามเณรเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีการเรียนการสอนทั้งแผนกธรรม แผนกบาลี และแผนก สามัญในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม. ๓) เป็นการสร้างศาสนทายาทไปพร้อมกัน โดยหลวงพ่อ มีความโชคดีที่มีพระมหาจำเนียร จิรวํโส ป.ธ. ๙ ซึ่งเป็นนาคหลวงจากสำนักเรียนวัดนิมมานรดี กรุงเทพ ฯ ซึ่งเป็นชาวจังหวัดกำแพงเพชรมาเป็นอาจารย์ใหญ่ช่วยหลวงพ่อในการดูแลบริหารการ จัดการเรียนการสอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งพระมหาจำเนียรก็ได้ติดตามมาช่วยงานหลวงพ่อ และได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (ปัจจุบันพระ มหาจำเนียร จิรวํโส ป.ธ. ๙ ได้รับพระราชทานสมศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เปรียญ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่พระเมธีวชิรภูษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ และรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระ บรมธาตุ) ปัจจุบันมีพระครูศรีวชิรธำรง (ทรงวุฒิ อายุโท ป.ธ. ๗) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่ต่อจากพระเมธีวชิรภูษิต ซึ่งมีภาระงานทางคณะสงฆ์เพิ่มมากขึ้น

การเรียนการสอนในช่วงแรกหลวงพ่อทุ่มเทกับการสอนมาก ในช่วงเย็นจะให้สามเณรมา สอบท่องบาลีเป็นประจำ หลวงพ่อจะให้กำลังใจนักเรียนเสมอ ขอให้ตั้งใจเรียนเพื่ออาศัยพระบาลี รักษาพระพุทธศาสนาและทำให้มีอนาคตที่เจริญยิ่งขึ้นเหมือนหลวงพ่อ ช่วงเวลาดังกล่าวมี พระภิกษุสามเณรมาบวชเรียนที่วัดพระบรมธาตุจำนวนมาก ปีละไม่น้อยกว่า ๑๐๐ รูป ต่อมา เนื่องจากครูสอนมีไม่มากจึงสามารถเรียนได้ถึงเปรียญธรรม ๖ ประโยคเท่านั้น หากรูปไหนมีความ ประสงค์จะศึกษาต่อหลวงพ่อก็จะฝากฝังให้เข้าเรียนในสำนักเรียนต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ ทำให้มี พระภิกษุสามเณรที่เคยศึกษาอยู่ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ผ่านการสอบไล่ตั้งแต่เปรียญธรรม ๗ ประโยคจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยคจำนวนหลายรูป ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่หลวงพ่อเป็นอย่างมาก เวลาเล่าถึงพระมหาที่สอบได้ประโยคสูง ๆ ที่หลวงพ่อเคยสอน ท่าน จะเล่าอย่างมีความสุขและภาคภูมิใจเสมอ เช่น พระมหาสุขุม อุตฺตโม ป.ธ. ๙ เจ้าอาวาสวัดบุญมั่น ศรัทธาราม พระมหานพรัตน์ ภทฺทวิญฺญู ป.ธ. ๙ ครูสอนบาลีวัดสุทัศนเทพวราราม และพระครู ปลัดสุวัฒนสารคุณ (สุชาติ สุชาตเมธี ป.ธ. ๘) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น

พระมหานพรัตน์ ภทฺทวิญฺญู ป.ธ. ๙ วัดสุทัศนเทพวราราม ได้บันทึกคำสอนของหลวงพ่อ ที่มอบให้กับนักเรียนบาลีที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” วัดพระบรมธาตุเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งหลวงพ่อเรียกว่า “คาถาประสบความสำเร็จ” เอาไว้ว่า
“พอจะจำความได้ว่า เมื่อครั้งประชุมประจำเดือนหรือการปฐมนิเทศของวัดพระบรมธาตุ กำแพงเพชรนี่แหละแต่จำได้แม่นคือ เป็นปี ๒๕๕๔ แน่ หลวงพ่อพระราชวชิรเมธี (ปัจจุบัน พระเทพวชิรเมธี) ได้กล่าวให้กำลังใจกับนักเรียนบาลีและได้ให้คาถาประสบความสำเร็จ ท่านบอก ว่า ถ้าใครอยากประสบความสำเร็จในการเรียนบาลีให้ท่องจำคาถานี้ไว้ให้ดี (ไอ้เราก็นึกในใจด้วย ความดีใจว่า คงจะเป็นคาถาเด็ดจากหลวงพ่อเป็นแน่ จึงตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างดี) ท่านว่าคาถานี้มี อยู่แค่ ๓ คำเท่านั้น คือ “ทน ทน ทน” อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน ไม่น่าเชื่อด้วยคำเพียงเท่านี้ กระผม จำได้ตั้งแต่วันนั้นไม่ลืมจนถึงวันนี้ เมื่อครั้งเรียนบาลี เรียนทางโลก หรือทำอะไรก็ตาม พอเกิดความ เบื่อ เหนื่อย เมื่อย ล้า หน่าย ก็จะระลึกถึงคาถาของหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา จึงทำให้มีแรงใจสู้ ตลอดเรื่อยมา กระทั่งปัจจุบันเป็นครูสอนบาลีก็จะใช้คาถานี้บอกกับนักเรียนเพื่อเป็นกำลังใจให้เขา อดทนกับการเรียน”

แม้ในช่วงจากนี้ไปหลวงพ่อจะมีภารธุระทั้งงานบริหารวัด บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์ และ กิจนิมนต์ต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยทิ้งการเป็นครูสอนบาลีเลย วันไหนที่ว่าง ๆ อยู่ ภายในวัด หลวงพ่อก็จะให้นักเรียนบาลีชั้นเปรียญธรรม ๕ - ๖ ประโยคเข้ามาเรียนที่กุฏิเสมอ นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้รับแต่งตั้งจากแม่กองบาลีสนามหลวงให้เป็นกรรมการตรวจบาลี สนามหลวง ชั้นประโยค ป.ธ. ๕ ณ วัดสามพระยา กรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๓ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจบาลีสนามหลวง ชั้นประโยค ป.ธ. ๖ ทุกปีหลวงพ่อจะลงไปทำหน้าที่กรรมการตรวจข้อสอบมิเคยขาด จนกระทั่งอาพาธหนักจึง แจ้งให้ทางแม่กองบาลีสนามหลวงทราบว่าไม่สามารถไปตรวจข้อสอบได้

๒. สร้างคนผ่านการสอบธรรมศึกษา หลวงพ่อได้ส่งเสริมให้โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ โรงเรียนอนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) และโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมซึ่งอยู่ในเขต ชุมชนนครชุมและอยู่ใกล้กับวัดพระบรมธาตุเข้าร่วมโครงการสอบธรรมศึกษาของคณะสงฆ์ โดย หลวงพ่อได้สนับสนุนพระภิกษุสามเณรเข้าไปสอนธรรมศึกษาและอบรมธรรมศึกษาในโรงเรียน ดังกล่าวสัปดาห์ละ ๑ วัน ซึ่งทำอย่างนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว และมีผู้กล่าวว่านี่ เป็นบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของหลวงพ่อที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ ข้าราชการบำนาญ อดีตครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ซึ่ง เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้มีการสอบธรรมศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวชิรปราการ วิทยาคมได้กล่าวเน้นย้ำกับผู้เขียนว่า “การเขียนประวัติหลวงพ่อครั้งนี้ อย่าลืมเขียนเรื่องการสอบ ธรรมศึกษาโดยเด็ดขาด เพราะเป็นผลงานที่สุดยอดของหลวงพ่อที่หาใครมาเทียบไม่ได้ การสอบ ธรรมศึกษามันไม่ใช่ได้ผลงานจากจำนวนผู้เข้าสอบหรือตัวเลขผู้สอบผ่านนะ แต่หลวงพ่อให้พระ เณรเข้ามาอบรมนักเรียนช่วงก่อนสอบ และมีพระเณรมาสอนทุกสัปดาห์ หมุนเวียนกันมา การสอน ก็ไม่ได้มีแค่มุ่งให้สอบผ่านอย่างเดียวไง แต่มันเป็นกระบวนการขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมของ นักเรียนร่วมด้วย สมัยนั้นก่อนที่หลวงพ่อยังไม่อาพาธ นักเรียนนี่เชื่อฟังครูนะ ไม่เหมือนทุกวันนี้ที่ พระเณรก็ห่าง ๆ โรงเรียนไปตามบริบทนั่นแหละ”

คำพูดดังกล่าวก็ไม่เกินไปจากความเป็นจริง เพราะเป็นผลงานการสร้างคนที่ทำให้เยาวชน ในเขตตำบลนครชุมและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดกำแพงเพชรได้เรียนรู้หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นที่ชื่นชมของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งทาง โรงเรียนก็ร่วมมือกับหลวงพ่อเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาแนว ใหม่ ทำให้มีการขยายสถานที่สอบจากวัดไปสู่โรงเรียน เริ่มต้นจากโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมซึ่ง ขณะนั้นมี ดร. สุทธิพงษ์ ธรรมสอน เป็นผู้อำนวยการก็ได้เอาใจใส่กิจกรรมสอบธรรมศึกษาและสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของวัดเป็นอย่างดี ก่อนที่จะขยายไปยังโรงเรียนวัดพระบรมธาตุ โรงเรียน อนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) โรงเรียนเพ็ชระศึกษา และโรงเรียนเจริญสุขอุดมวิทยา

สนามสอบธรรมสนามหลวง โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ถือเป็นสนามสอบธรรมศึกษาที่ ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกำแพงเพชร หลวงพ่อจะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทนมาเป็นประธานนพิธี เปิดการสอบเสมอ โดยมีหลวงพ่อเป็นผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวงอ่านคำปรารภแม่กองธรรม สนามหลวง เมื่อผลของการสร้างคนเริ่มผลิบาน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุน การสอบธรรมศึกษาในโรงเรียน หลวงพ่อก็ส่งเสริมให้ได้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำ คุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา โดยเข้ารับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา เช่น โรงเรียนว ชิรปราการวิทยาคม โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญ วงศ์ เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติงานสนองงานคณะสงฆ์ด้านการสอบธรรมศึกษาเกิดขวัญกำลังใจเป็น อย่างมาก

๓. สร้างคนผ่านการเรียนที่หน่วยวิทยบริการ มจร กำแพงเพชร แม้ว่าหลวงพ่อจะย้าย ขึ้นมาอยู่วัดพระบรมธาตุแล้ว แต่หลวงพ่อก็ยังต้องเดินทางลงไปสอนที่วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์เป็น ประจำ และได้ทราบว่ามีพระภิกษุสามเณรในเขตจังหวัดกำแพงเพชรที่สนใจศึกษาต้องเดินทางไกล ลงไปเรียนที่จังหวัดนครสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงดำเนินการขออนุญาตเปิดหน่วยวิทยบริการ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ณ วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยหลวงพ่อได้รับ แต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ทำการเรียนการสอนใน หลักสูตรประกาศนียบัตร การบริหารกิจการคณะสงฆ์ (ป.บส.) สำหรับพระสังฆาธิการ แล้วปีต่อมา ก็เปิดหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ สำหรับพระภิกษุสามเณร และ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สำหรับบุคคลทั่วไป ตามลำดับ

การตั้งหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชรขึ้นนั้นได้ใช้อาศัยเรียนส่วนหนึ่งของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ภายในวัดพระบรมธาตุเป็นสถานที่เล่าเรียนและเป็นที่ ปฏิบัติงานของบุคลากร กล่าวได้ว่าหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ถือว่าเป็นแหล่ง สร้างพระสังฆาธิการที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการและการบริหารกิจการคณะสงฆ์ให้กับ คณะสงฆ์จังหวัดกำแพงเพชร เพราะนิสิตที่มาเรียนส่วนใหญ่ที่มาเรียนล้วนแต่เป็นพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะตำบลในเขตจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนหลักสูตรรัฐศาสตร์ก็มี บุคคลทั่วไปมาเรียนจำนวนมาก นิสิตกลุ่มนี้ก็เป็นกำลังในการส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๑
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!