จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
พฤศจิกายน 22, 2024, 12:11:48 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ท้าวศรีสุดาจันทร์ "แม่หยัวเมือง" ใครว่าหล่อนชั่ว  (อ่าน 12116 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1440


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 09:49:59 pm »

ท้าวศรีสุดาจันทร์ "แม่หยัวเมือง" ใครว่าหล่อนชั่ว

คัดลอกจาก บทบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 20 ฉบับที่ 10 , สิงหาคม 2542 โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ


--------------------------------------------------------------------------------

 ประวัติศาสาตร์ยุคต้นกรุงศรีอยุธยายังคลุมเครือเพราะมีหลักฐานไม่มากพอที่จะเชื่อถือได้ ดังเรื่องราวของขุนวรวงศาธิราชกับเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แรกเริ่มเดิมที พระนครศรีอยุธยายังมิได้เป็นศูนย์รวมอำนาจการปกครองแผ่นดินอย่างแท้จริง เพราะอำนาจกระจายอยู่ที่บรรดาเจ้าเมืองสำคัญ ๆ โดยเฉพาะเจ้าเมืองลูกหลวงและหลานหลวงที่กษัตริย์ทรงแต่งตั้งพรญาติพระวงศ์ไปปกครอง เมื่อสิ้นรัชกาลก็มักเกิดการแย่งชิงอำนาจกันในกลุ่มเจ้านายที่เป็นเจ้าเมืองใหญ่ ๆ เหล่านั้น ดังกรณีเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) ทรงปฏิรูปการปกครองเสียใหม่ด้วยการดึงอำนาจการปกครองแผ่นดินมาไว้ที่ส่วนกลางคือราชธานีพระนครศรีอยุธยา โดยยกเลิกการแต่งตั้งเจ้านายและพระราชวงศ์ไปให้ไปปกครองหัวเมืองสำคัญดังแต่ก่อน แล้วตราข้อบังคับให้บรรดาเจ้านายอยู่ภายในพระนคร

ส่วนการปกครองหัวเมืองทรงแต่งตั้งให้ขุนนางจากส่วนกลางออกไปปกครอง บรรดาเจ้าเมืองเหล่านี้ไม่มีอำนาจและไม่มีสิทธิในการปกครองและบริหารอย่างเต็มที่เหมือนอย่างแต่ก่อน เพราะต้องขึ้นอยู่กับการควบคุมของเจ้าสังกัดใหญ่ที่อยู่ในเมืองหลวงซึ่งประกอบด้วยฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน

กลุ่มผู้เสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ได้แก่บรรดาเจ้านายที่เคยมีอำนาจการปกครองเมืองสำคัญ ๆ มาก่อน เช่นเจ้านายฝ่ายแคว้นสุโขทัย เป็นต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจสืบเนื่องมาตลอดทุกรัชกาล

จนกระทั่งแผ่นดินสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ.2077-2098) ทรงรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้สำเร็จ แล้วยกเลิกให้กษัตริย์หรือเจ้านายไปครองเมืองเหนือ คือเมืองพิษณุโลก ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก เจ้านายและขุนนางจากเมืองสำคัญ ๆ ถูกเรียกตัวให้เข้าไปอยู่ในพระนครศรีอยุธยา เช่นขุนพิเรนทรเทพ ,ขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ ฯลฯ บุคคลเหล่านี่ยอมอยู่ในอำนาจของสมเด็จพระไชยราชาธิราชแต่โดยดี เพราะทรงใช้อำนาจปกครองอย่างเด็ดขาด แต่ก็มีสำนึกตลอดเวลาว่าถ้ามีโอกาสก็จะกอบกู้เกียรติยศกลับคือนสู่บ้านเมืองเดิมของตน

 ในที่สุดโอกาสนั้นก็มาถึงเมื่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคต แล้วท้าวศรีสุดาจันทร์ เรืองอำนาจว่าราชการแผ่นดินแทนสมเด็จพระยอดฟ้าที่ยังทรงพระเยาว์ ท้าวศรีสุดาจันทร์มีเป้าหมายทางการเมืองอย่างน้อย 2 อย่างคือ สืบทอดเจตนารมณ์ของสมเด็จพระไชยราชาธิราชเรื่องการปกครองแบบรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางที่พระนครศรีอยุธยาอย่างหนึ่ง กับอีกอย่างหนึ่งคือ ฟื้นฟูราชวงศ์ละโว้-อโยธยาที่ถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิทำลานให้มีอำนาจดังเดิม เรื่องนี้น่าจะเป็นที่รับรู้กันลึก ๆ ในแวดวงเจ้านายและขุนนางครั้งนั้น ดังนั้นเมื่อพระไชยราชาธิราชสวรรคต พระเทียรราชาจึงต้องหนีภัยการเมืองด้วยการบวชเป็นภิกษุ

 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากการปกครองมากที่สุดคือกลุ่มเจ้านายเมืองเหนือที่เป็นแคว้นสุโขทัยเดิม เพราะเจ้านายเชื้อสายราชวงศ์สุโขทัยถูกลดฐานะลงเป็นเพียงขุนนางอยู่ในพระนครศรีอยุธยา โดยเฉพาะขุนพิเรนทรเทพที่พงศาวดารระบุว่า "บิดาเป็นพระราชวงศ์พระร่วง มารดาไซร้ได้เป็นพระราชวงศ์แห่งสมเด็จพระชัยราชาธิราช" นอกจากนั้นยังมีพระยาพิชัย พระยาสวรรคโลกรวมอยู่ด้วย และต้องไม่ลืมว่าเจ้านายที่ได้รับพระนามภายหลังว่าพระสุริโยทัยก็อยู่ในกลุ่มนี้

พงศาวดารจดไว้อีกว่าเมื่อขุนวรวงศาธิราชขึ้นเสวยราชสมบัติแล้วยังให้เกณฑ์เจ้าเมืองเหนืออีก 7 เมืองที่ยังกระด้างกระเดื่องลงมาอยู่พระนครศรีอยุธยา ก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บแค้นให้พวกหัวเมืองเหนือมากขึ้น และเท่ากับเพิ่มกำลังให้กับฝ่ายต่อต้านท้าวศรีสุดาจันทร์

ขุนพิเรนทรเทพเชื่อสายราชวงศ์สุโขทัย กับขุนอินทรเทพเชื้อสายเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้นคิดสำคัญที่จะกำจัดท้าวศรีสุดาจันทร์ เพราะถ้าปล่อยให้เป้าหมายทางการเมือง 2 อย่างสัมฤทธิผล ก็เป็นอันว่าต้องอยู่ภายใต้อำนาจกรุงศรีอยุธยาต่อไปไม่มีวันกลับคืนไปฟื้นฟูบ้านเมืองดิม

ท้ายที่สุดก็กำจัดท้าวศรีสุดาจันทร์กับพรรคพวกได้สำเร็จแล้วเชิญพระเทียรราชาชึ้นเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พงศาวดารจดว่า ขุนพิเรนทรเทพได้ความดีความชอบสูงสุดคือ ได้เกียรติและอำนาจคืนมาทั้งหมดเป็นสมเด็จพระมหาธรรมาราชาธิราช แล้วได้กลับไปครองเมืองพิษณุโลกซึ่งเป็นแว่นแค้วนสุโขทัยเดิมสมปรารถนา นอกจากนั้นยังได้รับพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระสวัสดิราชธิดาเป็นพระอัครมเหสีแล้วถวายพระนามใหม่ว่าวิสุทธิกษัตรี

 ท้าวศรีสุดาจันทร์ไม่ใช่สามัญชนคนธรรมดา ส่วยจะมีชื่อตัวว่าอะไรไม่มีหลักฐาน แต่ชื่อ ศรีสุดาจันทร์ ไม่ใช่ชื่อตัว หากเป็นชื่อตำแหน่งสนมเอกคนหนึ่ง (ในสี่คน) ของสมเด็จพระไชยราชาธิราช และเป็นตำแหน่งเฉพาะสำหรับธิดานารีที่มีเชื้อสายเจ้านายราชวงศ์ ละโว้-อโยธยาเท่านั้น แม้ว่าราชวงศ์นี้จะหมดอำนาจไปจากกรุงศรีอยุธยา แต่ชาติตระกูลที่มีเชื้อสายราชวงศ์เก่ายังมีอยู่ และยังเป็นสัญญลักษ์ของการปกครองที่สืบมาแต่ยุคก่อน ๆ

หลักแหล่งของท้าวศรีสุดาจันทร์คงอยู่ในพระนครศรีอยุธยา แต่มีเครือญาติสำคัญอยู่บริเวณลุ่มน้ำลพบุรี-ปาสัก อันเป็นบริเวณหัวใจของแคว้นละโว้มาแต่โบราณ เช่นที่เมืองลพบุรีและที่บ้านมหาโลก (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอท่าเรือ จังหวังพระนครศรีอยุธยา)

ท้าวศรีสุดาจันทร์น่าจะเป็น "ชายาคู่ทุกข์คู่ยาก" ของสมเด็จพระไชยราชาธิราช มาตั้งแต่ยังไม่ได้รับราชสมบัติ เมื่อได้ราชสมบัติแล้ว ชาติตระกูลของนางคงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมเหสีได้ จึงเป็นเพียงสนมเอก และสมเด็จพระไชยราชาธิราชเองก็อาจจะไม่สถาปนาเชื้อพระวงศ์ผู้ใดขึ้นเป็นพระมเหสีด้วย ฉะนั้นเมื่อพระนางมีโอรสถึง 2 องค์ คือ พระยอดฟ้า และพระศรีศิลป์ และสมเด็จพระไชยราชาธิราชได้ขึ้นครองราชย์จึงทำให้ท้าวศรีสุดาจันทร์มีตำแห่งเป็น "แม่อยู่หัว" หรือ "แม่หยัวเมือง" ด้วย

เพราะเหตุที่เป็น "ชายาคู่ทุกข์คู่ยาก" ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชก็คงตกอยู่ในความควบคุมของท้าวศรีสุดาจันทร์มากพอสมควร และคงเป็นที่รับรู้กันในราชสำนักด้วยในคำให้การชาวกรุงเก่าจึงเล่าว่าพระเจ้าแผ่นดินโปรดท้าวศรีสุดาจันทร์ มีรับสั่งให้เฝ้าอยู่ข้างพระที่มิได้ขาด ราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในต่าง ๆ ถ้าท้าวศรีสุดาจันทร์เพ็ดทูลคัดง้างอย่างไรแล้ว ก็ทรงเชื่อทั้งสิ้น

เมื่อพ่ายแพ้ทางการเมือง ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ถูกพงศาวดารกล่าวหาว่า คบชู้ (คือขุนวรวงศาธิราช), ฆ่าผัว (คือสมเด็จพระไชยราชาธิราชา) , ฆ่าลูก (พระยอดฟ้า) แล้วยังข้อหาอื่น ๆ อีกมาก ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่หมดข้อกล่าวหา และยังไม่มีใครเป็นทนายแก้ข้อกล่าวหาเหล่านั้นได้ นักประวัติศาสตร์และพงศาวดารตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงไม่ยอมรับขุนวรวงศาธิราชอยู่ในบัญชีกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา

ข้อกล่าวหาท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นเรื่องราวเล่าขานที่รับรู้กันมาแต่เริ่มแรก มีทั้งบันทึกของชาวยุโรป และมีทั้งเอกสารพงศาวดารสยาม จึงยากที่จะปฏิเสธได้ แต่หากยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมดโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบก็เท่ากับกล่าวโทษบุคคลในประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม และยังเท่ากับละเลยเหตุการณ์ในอดีตที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต และวิญญาณของความขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมืองภายในของกลุ่มราชวงศ์ที่ปกครองอยุธยาในขณะนั้น

เมื่อกลุ่มท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นฝ่ายรับชัย ก็ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ต้องโดนประณามหยามเหยียดจากฝ่ายมีชัยชนะ ในทางตรงกันข้าว ถ้าหากกลุ่มท้าวศรีสุดจันทร์มีชัยชนะ อีกฝ่ายหนึ่งก็จะต้องถูกประณามหยามเหยียดไม่น้อยกว่าหรืออาจจะโดนหนักกว่าก็ได้

 

บันทึกการเข้า
กรกช สีกล่อม
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 20, 2011, 08:41:27 pm »

กราบสวัสดีครับ ท่านอาจารย์สันติ

ผมเข้าค่ายที่วัดหนองปลิง รุ่น วันที่ 18 - 19 ของ โรงเรียนกำแพงเพชร


เพราะผมศึกษามาว่า พระยอดฟ้า เป็นแค่ ลูกเลี้ยง

ท้าวศรีสุดาจันทร์เลย สำเร็จโทษ  ใช้หรือไม่ครับ


ช่วย ตอบที   ผมชอบศึกษาเรื่อง ของ ประวัติศาสตร์ของอยุธยาครับ



บันทึกการเข้า
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1440


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 20, 2011, 10:01:59 pm »

 ความจริงท้าวศรีสุดาจันทร์ ยอมเสียสละ  ราชโอรส และพระสวามี เพื่อราชวงศ์และบรรพบุรุษของเธอ  สมควรได้รับการยกย่อง แต่โชคไม่ดีเธอแพ้ ในประวัติศาสตร์ ใครจึงว่าเธอชั่วช้า ความจริงเธอถูกส่งมาเป็นตัวประกันเท่านั้น
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!