จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
มีนาคม 12, 2025, 10:41:32 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ ๑๑ เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพ  (อ่าน 12 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1473


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 03:23:24 am »

เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๑: (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสร้าง(๒)
๔. สร้างคนผ่านการอบรมยุวมัคคเทศก์ หลังจากที่หลวงพ่อบูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการ เปรียญหลังเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม ผู้เขียนได้มีโอกาสมารู้จักกับหลวงพ่อครั้งแรกผ่านการอบรมยุวมัคคเทศก์เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๕๒ จำ ได้ว่าปีนั้นทางกระทรวงวัฒนธรรมได้มีการประกวดศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนทั่วประเทศ หลวงพ่อได้ติดต่อกับผู้เขียนผ่านทางคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ และคุณครูอัญชรี กัลปพฤกษ์ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ซึ่งรู้จักกับผู้เขียนโดยบังเอิญในคราวคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดโครงการอบรมครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษาในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดย ผู้เขียนแนะนำผ่านคุณครูทั้งสองคนว่าวัดพระบรมธาตุมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่น่าสนใจ หากมีการนำ เยาวชนมาอบรมเป็นยุวมัคคุเทศก์ก็จะทำให้น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนขณะนั้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม ประวัติศาสตร์สองข้างทาง สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ยินดี ที่จะมาช่วยอบรม คุณครูทั้งสองคนได้มาเล่าให้หลวงพ่อฟัง และคิดว่าควรมีการอบรมยุวมัคคเทศก์ ลองดู เผื่อจะถูกใจคณะกรรมการที่มาประเมินให้คะแนน

ผู้เขียนกับคณะเดินทางจากมหาวิทยาลัยนเรศวรโดยรถโดยสารมาถึงวัดพระบรมธาตุก็ราว เพลพอดี กินข้าวเที่ยงทำความคุ้นเคยกับนักเรียนที่จะมาอบรมราว ๒๐ คน จากนั้นก็อบรมความรู้ ภาคทฤษฎีเล็กน้อย ก่อนนำไปสู่การฝึกบรรยายนำชมจริง โดยหลวงพ่อให้โจทย์ว่า “ทำยังไงก็ได้ ขอให้เด็กพวกนี้พูดได้ บรรยายได้ และเข้าใจในสิ่งที่กำลังพูด” ปรากฏว่าเมื่อถึงบ่าย ๓ โมงกว่า ๆ นักเรียนที่เข้าอบรมก็สามารถบรรยายนำชมได้แล้ว วันนั้นหลวงพ่อได้ทำหน้าที่เป็นนักท่องเที่ยว เพื่อทดสอบการนำชมของยุวมัคคุเทศก์ด้วย ซึ่งหลวงพ่อประทับใจมาก ไม่คิดว่าทั้งคนฝึกและ นักเรียนจะสามารถทำได้ขนาดนี้ ก่อนที่จะกำชับว่าให้นักเรียนหมั่นเข้ามาฝึกฝน และนำชมจริง ๆ ได้เลยในช่วงวันหยุด ทางวัดจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารเอง จากนั้นผู้เขียนและคณะก็เดินทางกลับ โดยหลวงพ่อจัดรถยนต์ของวัดมาส่งที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมทั้งเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ เป็นการขอบคุณด้วย

ต่อมาเมื่อทางคณะกรรมการจากกระทรวงวัฒนธรรมมาประเมินตรวจเยี่ยมศูนย์ส่งเสริม วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมที่วัดพระบรมธาตุ ทางยุวมัคคุเทศก์ที่ผ่านการอบรมก็ได้ แสดงฝีมือให้คณะกรรมการชม ปรากฏว่าผลการประกวดศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมได้รับรางวัลดีเด่นระดับ ภาคเหนือ ผู้เขียนจำคร่าว ๆ ได้ว่าได้รับเงินรางวัล ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมโล่เกียรติยศ เมื่อรับ รางวัลมาแล้วหลวงพ่อได้ประสานกับผู้เขียนอีกครั้ง บอกว่าครั้งนี้จะจัดอบรมยุวมัคคุเทศก์อย่าง เป็นทางการ มีนักเรียนจากโรงเรียนในชุมชนเข้าร่วม ๔๐ คน ใช้เวลาอบรม ๒ วัน ๑ คืน เรียกการ อบรมครั้งนั้นว่า “การอบรมยุวชนน้อยทูตวัฒนธรรม” การอบรมลุล่วงไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือ ของคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ คุณครูอัญชรี กัลปพฤกษ์ คุณครูธิดามาตย์ สถิตย์อยู่ และคุณครูอีกหลายคนจากโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมและโรงเรียนอนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) หลังจากนั้นในช่วงวันหยุดก็จะมีนักเรียนหมุนเวียนกันตามเวรมาประจำที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านศูนย์ ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมที่วัดพระบรมธาตุ เพื่อต้อนรับและบรรยายข้อมูล ให้กับนักท่องเที่ยวเรื่อยมา

จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม ก็ได้รับ รางวัลโล่เกียรติยศดีเด่นระดับประเทศ ซึ่งคณะกรรมการผู้ประเมินให้ความเห็นว่า ที่ได้รับรางวัลก็ เพราะที่วัดพระบรมธาตุมียุวมัคคุเทศก์ ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนได้เรียนรู้และอนุรักษ์ วัฒนธรรมท้องถิ่น มีคนหลายวัยมาร่วมทำกิจกรรม เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ของโครงการศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนของกระทรวงวัฒนธรรม

แม้ว่าในช่วงหลังจากการอบรมราว ๒ ปี ยุวมัคคุเทศก์ที่มาคอยนำชมจะลดลง เนื่องจาก สำเร็จการศึกษา แต่หลวงพ่อก็พยายามที่จะ “สร้างคน” ให้เป็นคนที่มีจิตอาสาและรักบ้านเกิดผ่าน กิจกรรมอบรมยุวมัคคุเทศก์ ดังพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลวงพ่อได้จัดอบรมยุวมัคคุเทศก์อีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยเรื่อง “การอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดีตำบลนครชุม อำเภอ เมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร” ซึ่งหลวงพ่อเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย และได้รับการยกย่อง ให้เป็นงานวิจัยดีเด่นของสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในปี นั้นด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก็ได้มีการพัฒนาจากการอบรมยุวมัคคุเทศก์เป็น “ยุววิจัย” ผ่าน โครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้การอนุรักษ์และพัฒนา แหล่งโบราณคดีจังหวัดกำแพงเพชร” ซึ่งได้รับการเงินสนับสนุนการวิจัยจากกองทุนสนับสนุนการ วิจัย (สกว.) จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อพยายามที่จะ “สร้างคน” ในท้องถิ่นตั้งแต่ระดับนักเรียนและ เยาวชนให้เป็นผู้มีความรู้และมีจิตสำนึกรักบ้านเกิดมาโดยตลอด

ผลในความทุ่มเทในการ “สร้างคน” ไม่เพียงแต่หลวงพ่อจะเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วน ในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้กับสังคมประเทศชาติเท่านั้น แต่ผลงาน อันเป็นรูปธรรมเชิงประจักษ์ของหลวงพ่อยังทำให้หลวงพ่อได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องมากมาย เช่น ได้รับรางวัล “วัฒนคุณาธร” ซึ่งเป็นรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์แก่กระทรวงวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และรางวัล “พุทธคุณูปการ” ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ในงาน ครบรอบ ๖๕ ปี คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น

ในช่วง “๕ ปีสร้าง” หลวงพ่อไม่ได้แค่เพียงสร้างถาวรวัตถุและสร้างคนเท่านั้น ที่สำคัญคือ หลวงพ่อยัง “สร้างตน” อีกด้วย สร้างตนในที่นี้หมายถึงหลวงพ่อได้พยายามที่จะศึกษาหาความรู้ เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง โดยสมัครเข้าศึกษาต่อระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหาร การศึกษา ที่บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ หลวงพ่อ ทุ่มเทกับการเรียนอย่างเต็มที่ควบคู่กับการพัฒนาวัด โดยเดินทางมาเรียนในทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ จนในที่สุดก็สำเร็จการศึกษาหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยนเรศวร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิตเรื่อง “อนาคต ศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย” ซึ่งเป็นความพยายามของหลวงพ่อที่จะใช้ข้อมูลจากการทำ วิทยานิพนธ์นี้ไปพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์

และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ยังได้เข้าศึกษาต่อหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (รุ่นที่ ๑) ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ซึ่งหลวงพ่อต้องเดินทางลงมาเรียนทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ในทุกสัปดาห์ โดยช่วงนี้หลวงพ่อมีรถตู้ส่วนตัวเป็นรถยี่ห้อฮุนไดเป็นพาหนะในการเดินทาง มีโยมพระนมหรือ คุณทณภพ ศิรินาค ชาวบ้านคุยป่ารังทำหน้าที่คนขับและอุปัฏฐากในระหว่างการเดินทาง นอกจาก จะเดินทางมาเรียนแล้ว หลวงพ่อยังต้องมาเป็นอาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยด้วย เพราะหลวงพ่อ ได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรชุดแรกของหลักสูตรนี้ เนื่องจากมีคุณวุฒิระดับปริญญา เอกที่ตรงกับหลักสูตรที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทำการเปิดการเรียนการสอน

โชคดีว่าในการมาเรียนและมาสอนนั้นหลวงพ่อได้ชวนพระสังฆาธิการหลายรูปในจังหวัด กำแพงเพชรให้มาเรียนต่อระดับปริญญาเอกด้วยกัน นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าน้ำมันรถแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อจะได้เปิดสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสน ศาสตร์ ที่หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ต่อไปในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย พระครู วชิรคุณพิพัฒน์ (เอนก คุณวุฑฺโฒ ป.ธ. ๓) วัดถาวรวัฒนาใต้ เจ้าคณะอำเภอทรายทองวัฒนา และ รองผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ ฯ ฝ่ายบริหาร (ปัจจุบันเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร

ผลงานที่หลวงพ่อทุ่มเทในการสร้างคนและสร้างวัดในช่วงเวลานี้ ทำให้เป็นที่ประจักษ์ต่อ สายตาบุคคลทั่วไปที่เข้ามายังวัดพระบรมธาตุ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้หลวงพ่อได้รับ ยกย่องและได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้รับโล่ “คุรุสดุดี” จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต ๑ และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อยังได้รับรางวัลผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาระดับ “กาญจนเกียรติคุณ” โดย คณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น

ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่หลวงพ่อได้กระทำในการพัฒนาวัดพระบรมธาตุ พัฒนาคนและ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ขึ้นมารับภารธุระเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ยังทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้หลวงพ่อเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชวชิรเมธี” ดังปรากฏในสัญญาบัตรว่า “ให้พระศรีวชิราภรณ์ เป็นพระราชวชิรเมธี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดพระบรม ธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดกำแพงเพชร” ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งราชทินนามที่ “พระราชวชิรเมธี” นั้นยังไม่เคยปรากฏว่าเป็นราชทินนามที่เคยมีการพระราชทานให้แก่พระภิกษุ รูปใดมาก่อน หลวงพ่อจึงเป็นพระภิกษุหรือพระราชาคณะรูปแรกของประเทศไทยที่ได้รับ พระราชทานราชทินนามว่า “วชิรเมธี” นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ในการจัดงานต้อนรับสัญญาบัตร พัดยศและสมโภชสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นราชของ หลวงพ่อ จัดขึ้น ณ ศาลาเปรียญวัดพระบรมธาตุ ในงานได้มีพระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชน จำนวนมากมาร่วมแสดงมุทิตายินดีกับหลวงพ่อ หลวงพ่อเมตตาให้จัดสร้างวัตถุมงคลที่เป็นภาพ หลวงพ่อขึ้นเป็นรุ่นแรกในการนี้ เป็นเหรียญรูปพัดยศ แหนบรูปพัดยศ และเหรียญทรงกลม ซึ่งเป็น ที่กล่าวกันในภายหลังว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อรุ่นนี้เน้นเนื่องเมตตามหานิยมเป็นหลัก

ตอนนั้นผู้เขียนขึ้นไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ เมื่อได้ทราบข่าวอันเป็นมงคลก่อนที่หลวงพ่อจะเข้ารับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ จึงได้ ประสานกับคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าจะขอเขียนหนังสือ “เมืองโบราณ นครชุมและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน วัดพระบรมธาตุ” ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทความเรื่องเมืองโบราณนครชุมและศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง เพื่อจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสดังกล่าว คุณครูสุภิตราจึงได้เรียนให้หลวงพ่อทราบ และหลวงพ่อ มีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้มีหนังสือที่มี องค์ความรู้ทางประวัติท้องถิ่นมอบให้ผู้มาร่วมงาน โดยทางคณะสงฆ์ กรรมการทายก ทายิกา วัดพระบรมธาตุ ได้จัดพิมพ์ถวายจำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๒
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!